และนี่คือชื่อโมเสส
ตามที่บทความก่อนหน้าได้เกริ่นไว้ว่าพระธรรมอพยพให้ความสำคัญเกี่ยวกับ "ชื่อ" ดังนั้นเราควรให้ความสำคัญกับชื่อของโมเสส
อพยพ 2:10
พระคัมภีร์ตอนนี้มีบริบททางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ชื่อ "โมเสส" นั้นเป็นชื่อที่มีความหมายสองภาษา คือในภาษาฮีบรู ซึ่งมีความหมายถึงผู้ที่ฉุดออก (draw out) และในภาษาอียิปต์คำว่า "โมส" เป็นชื่อที่เป็นที่นิยมของชาวอียิปต์ โดยมีความหมายว่า บุตรของ ... ชื่อชาวอียิปต์ที่ลงท้ายด้วยโมส จะมีคำขึ้นต้นเพื่อเติมคำในช่องว่างให้รู้ว่าเป็นบุตร (หรือเกิด) จากใคร ตัวอย่างเช่น ฟาโรห์ทัทโมส คือบุตรของเทพเจ้าทอท หรือฟาโรห์ราโมส คือบุตรของเทพเจ้ารา ที่น่าสนใจคือชื่อโมเสสนั้นไม่ได้บอกว่าเป็นบุตรของใคร ดังนั้นเมื่อชาวฮีบรูในสมัยนั้นที่เข้าใจวัฒนธรรมอียิปต์ เมื่ออ่านพระคัมภีร์ตอนนี้จะเข้าใจบริบทนี้ และเกิดเป็นข้อสงสัยถึงตัวตนของโมเสสว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน
โมเสสเป็นชาวฮีบรูจากสายเลือด แต่ได้รับการอุปการะและมีแม่อีกคนเป็นชาวอียิปต์ และเติบโตในวังของกษัตริย์อียิปต์ พระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องราวต่อมาที่ทำให้เราต้องสงสัยว่าโมเสสคิดว่าตัวเองเป็นลูกของใครและเป็นคนชาติไหนกันแน่
เมื่อโมเสสต้องเลือกข้าง เขาเลือกอยู่ข้างไหน
เมื่อโมเสสออกไปอีกในวันรุ่งขึ้น ก็เห็นคนฮีบรูสองคนต่อสู้กันอยู่ จึงตักเตือนคนที่ทำผิดนั้นว่า “ท่านตีพี่น้องของท่านเองทำไม?” เขาตอบว่า “ใครตั้งเจ้าให้เป็นเจ้านายและเป็นตุลาการปกครองเรา? เจ้าตั้งใจจะฆ่าตัวข้าเหมือนที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ?” โมเสสก็กลัว คิดว่า “เรื่องนั้นคงรู้กันทั่วแล้วแน่ๆ” เมื่อฟาโรห์ทรงทราบเรื่องก็หาช่องทางประหารโมเสส แต่โมเสสหนีฟาโรห์ไปอยู่ในแผ่นดินมีเดียน เขานั่งลงที่ริมบ่อน้ำแห่งหนึ่ง '
อพยพ 2:11-15
จากพระคัมภีร์ตอนนี้โมเสสได้มีส่วนร่วมกับความขัดแย้งสองครั้ง ครั้งแรกระหว่างคนอียิปต์ที่บังคับให้คนฮีบรูทำงานหนัก และตีคนฮีบรู ถึงแม้พระคัมภีร์จะเขียนถึงคนฮีบรูว่า "ซึ่งเป็นชนชาติเดียวกับตน" สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่โมเสสพูดออกมาในขณะนั้น แต่เป็นคำอธิบายของผู้เขียน (ซึ่งอาจจะเป็นตัวโมเสสเองนั่นแหละ แต่เขียนหลังจากเหตุการณ์นี้เป็นเวลานานแล้ว)
ถ้าอ่านเผินๆ เหมือนกับว่าโมเสสเข้าข้างคนฮีบรู เพราะคิดว่าเป็นคนชาติเดียวกัน แต่เมื่อดูตอนต่อไป จะเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กัน แต่คราวนี้เป็นคนฮีบรูทั้งสองฝ่าย ถ้าโมเสสใช้ชนชาติมาเป็นตัวตัดสิน ครั้งที่สองนี้ โมเสสคงเดินผ่านไปเฉยๆ แต่พระคัมภีร์บอกว่าโมเสสตักเตือนคนที่ทำผิด
คำว่า "มองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีใครอยู่ (เวยาร์ คีเอน อิช)" นี้เป็นการใช้คำพูดที่ค่อนข้างแปลก ถ้าแปลให้ตรงตัว จะได้ความหมายว่า เห็นว่าไม่มีคน (มนุษย์) อยู่ เราจะสามารถตีความพระคัมภีร์ตอนนี้ได้ โดยใช้พระคัมภีร์มาตีความพระคัมภีร์
ใน อสย 59:15-16 ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์พูดถึงความไม่ชอบธรรมและการกดขี่ข่มเหง อิสยาห์บอกว่าพระยาห์เวห์มองลงมาเห็นความอยุติธรรม พระองค์ไม่ชื่นชอบ และประหลาดใจ เพราะไม่มีผู้ใดเลย (เวยาร์ คีเอน อิช) ที่จะอ้อนวอนขอการช่วยเหลือผู้ถูกข่มเหง อิสยาห์พูดต่อว่าด้วยเหตุนี้ มือของพระยาห์เวห์เอง จะเป็นผู้นำความชอบธรรมลงมา
เมื่อดูพระคัมภีร์นี้ประกอบ เราจะเห็นภาพชัดเจนถึงความรู้สึก และจิตใจของโมเสส ที่เห็นความอยุติธรรม แล้วต้องการช่วยเหลือผู้ที่ถูกกระทำ ความจริงโมเสสเห็นความไม่ชอบธรรมนี้ โมเสสมีทางเลือกได้หลายทาง โมเสสอาจจะเข้าไปร่วมวงกับชาวอียิปต์ แล้วทำร้ายชาวฮีบรูซ้ำ หรือโมเสสอาจจะเลือกทำเป็นมองไม่เห็น คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวแล้วเดินผ่านไปก็ได้ แต่โมเสสกระหายความชอบธรรม แล้วเข้าไปพยายามแก้ปัญหา ถึงแม้ว่าวิธีที่โมเสสใช้อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีก็ตาม
แต่สิ่งที่โมเสสได้รับตอบแทน คือฟาโรห์อียิปต์โกรธและพยายามฆ่าเขา ส่วนชาวฮีบรูก็ไม่ชอบใจและปฏิเสธโมเสส โมเสสที่พยายามสร้างสันติและความชอบธรรม กลับต้องเปลืองตัว เจ็บตัวจากทั้งสองฝ่าย
นี่แสดงให้เห็นว่าโมเสสไม่ได้เลือกข้าง ว่าจะเข้าข้างชนชาติไหน แต่โมเสสเลือกที่จะอยู่ข้างความถูกต้องและความยุติธรรมมากกว่า
สิ่งนี้ชี้ไปถึงพระเยซู ซึ่งเป็นเจ้าชายแห่งสันติภาพ (ซา-ชาโลม อสย 9:6) เราจะเห็นว่าการสร้างสันติในแบบพระคัมภีร์นี้ไม่ง่ายเลย เพราะท่ามกลางความขัดแย้งและความไม่เป็นธรรม ผู้สร้างสันติต้องเอาตัวเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย ทางหนึ่งต้องบอกให้คนที่ทำผิด เห็นความผิดของตัวเองแล้วกลับใจใหม่ อีกทางหนึ่งต้องบอกให้ฝ่ายที่โดนกระทำรู้จักการให้อภัย การกระทำนี้มักจะส่งผลให้ผู้พยายามสร้างสันติ กลับกลายเป็นที่เกลียดชังจากทุกด้าน ซึ่งพระเยซูเองได้เตือนเอาไว้ในคำเทศนาบนภูเขา
มัทธิว 5:9-12
และสุดท้ายพระเยซูก็ถูกปฏิเสธจากทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มซาดูสี กลุ่มฟาริสี หรือกลุ่มโรมัน พวกเขาข่มเหงพระเยซูเพราะความชอบธรรมของพระองค์ นินทาว่าร้ายพระเยซูด้วยความเท็จ พวกเขานำพระเยซูไปตรึงกางเขน แต่พระเจ้าได้ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย และทำให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์ กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ได้มีสันติภาพที่แท้จริง และนี่คือวิธีการสร้างสันติตามพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นวิธีที่พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนทุกๆ คนได้ทำตาม เพราะการสร้างสันติที่แท้จริง ไม่ใช่การใช้กำลังต่อสู่กับความชั่วร้ายแต่เป็นการตอบแทนด้วยความรัก ด้วยวิธีนี้ เราจะได้นำคนเข้ามาพบพระเยซูและเราจะได้สร้างสันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืน
ที่ริมบ่อน้ำ
อพยพ 2:15-19
โมเสสอายุ 40 ปีเมื่อเขาต้องออกจากอียิปต์ไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินมีเดียน (กจ 7:23-29) และเขาได้มาพบกับภรรยาในที่ต่างแดน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ่อน้ำนี้ น่าจะทำให้เราคิดถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กันที่ผู้นำอิสราเอลได้ออกจากดินแดนที่เขาอยู่ แล้วไปพบกับภรรยาที่บ่อน้ำในที่ต่างแดน นั่นคือ อิสอัคได้เจอกับเรเบคาห์ (ผ่านผู้รับใช้ของอับราฮาม ในปฐมกาลบทที่ 24) และยาโคบได้เจอกับราเชล (ปฐมกาล 29) ผู้เขียนบันทึกเหตุการณ์เช่นนี้ไว้ด้วยรายละเอียดมากมาย เมื่อเราเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราจะเห็นรูปแบบดังนี้
- ว่าที่เจ้าบ่าวเดินทางไปในต่างแดน
- เขาได้พบกับหญิงสาว (หรือกลุ่มหญิงสาว) ที่บ่อน้ำ
- ใครสักคนตักน้ำ
- มีการให้ของขวัญหรือการช่วยเหลือที่ประทับใจว่าที่เจ้าบ่าวหรือเจ้าสาว
- ว่าที่เจ้าบ่าวแนะนำตัวว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน
- ว่าที่เจ้าสาวรีบกลับบ้านเพื่อนำข่าวไปแจ้งให้กับคนในครอบครัว
- ใครซักคนในครอบครัวว่าที่เจ้าสาวกลับออกมาต้อนรับว่าที่เจ้าบ่าว
- มีงานหมั้นและบางครั้งมีการกินเลี้ยงฉลอง
- เจ้าบ่าวอาศัยอยู่กับญาติฝั่งเจ้าสาว บางครั้งมีลูกด้วยกัน
- เจ้าบ่าวเดินทางกลับบ้าน
- เจ้าบ่าวได้รับการต้อนรับกลับบ้านหลังจากเดินทางมาถึง
- เจ้าบ่าวกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านตัวเอง
เหตุการณ์คล้ายๆ กันเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในหลายๆ ยุคสมัย ล้วนแล้วเป็นเงาที่ชี้ไปถึงพระเยซูคริสต์ เมื่ออัครทูตยอห์นบันทึกเหตุการณ์พระเยซูกับหญิงชาวสามาเรียที่บ่อน้ำ แน่ทีเดียวว่ายอห์นคาดหวังว่าเราเข้าใจถึงบริบทของพระคัมภีร์เดิม ในบทความนี้เราจะยังไม่เขียนไปถึงพระเยซูคริสต์ แต่ฝากให้ลองใคร่ครวญคิดดูว่าถ้าอ่านยอห์นบทที่ 4 ด้วยบริบทนี้ เราจะมีความเข้าใจถึงสิ่งที่พระเยซูทำให้สำเร็จได้อย่างไรบ้าง
กลับมาที่โมเสส เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอพยพเป็นไปตามรูปแบบข้างต้นนี้ทุกข้อ ยกเว้นเพียงข้อ 5 ข้อเดียว คือโมเสสไม่ได้แนะนำตัวเองว่าเขาเป็นใครมาจากไหน และนี่เป็นประเด็นที่ผู้เขียนต้องการให้เราเห็นและให้ความสำคัญว่าโมเสสไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ ผู้เขียนได้ให้คำใบ้กับเราและเน้นย้ำในประเด็นนี้ โดยการบอกเราว่าพวกผู้หญิงคิดว่าโมเสสเป็นคนอียิปต์
อพยพ 2:20-22
นี่เป็นอีกครั้งที่อพยพพูดถึงชื่อของบุคคล "เกอร์โชม" มาจากคำว่า "เกอร์" มีความหมายถึงคนต่างด้าว คนเร่ร่อน และ คำว่า "ชาม" มีความหมายว่า "ที่นี่" โมเสสได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า (คือตัวโมเสสเอง) เป็นคนต่างด้าวในต่างแดน ประโยคนี้มีได้หลายความหมาย โมเสสอาจจะคิดถึงตัวเองเป็นคนอียิปต์แต่ต้องไปเร่ร่อนอยู่ที่มีเดียน หรือคือว่าตัวเองเป็นคนฮีบรูที่ไปเร่ร่อนอยู่ที่อียิปต์ในอดีต เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าโมเสสหมายความทั้งสองแบบ เราได้เห็นสภาพจิตใจของโมเสสที่เขารู้สึกไม่เข้าพวก ไม่รู้่ว่าเขามีชีวิตอยู่ไปทำไม ไม่รู้ที่มาที่ไปและเป้าหมายในชีวิตของตัวเขาเอง
ที่พุ่มไม้ติดไฟ ตัวตนและพันธกิจของโมเสส
เวลาผ่านไปอีก 40 ปี เมื่อโมเสสอายุ 80 ปี พระเจ้าได้นำโมเสสมาพบพระองค์ที่ภูเขาโฮเรบ ณ ที่พุ่มไม้ติดไฟ (กจ 7:30) พระเจ้าได้เรียกโมเสสและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของโมเสสให้โมเสสได้รู้ และได้มอบพันธกิจให้กับโมเสส นับจากวันนั้น โมเสสได้เข้าใจว่าเขาเป็นใคร เขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร และใครเป็นเจ้าของของเขา
อพยพ 3:1-6 (THSV11)
คำว่า "เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า (อาโนคี เอโลเฮ อาวีคา) พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค พระเจ้าของยาโคบ" น่าสนใจมากว่าคำว่าบิดาเจ้านี้เป็นคำเอกพจน์ (บิดาคนเดียว) แต่ในพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ มักจะใช้คำว่า "อาโวเทเคม" ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า บิดา (พหูพจน์) ของพวกเจ้า ในพระคัมภีร์ภาษาไทยทั้งฉบับมาตรฐานและฉบับอมตธรรมร่วมสมัย แปลว่า "บิดาของบรรพบุรุษพวกท่าน"
ผู้เขียนใช้คำที่แตกต่างไป น่าจะเพื่อเน้นประเด็นนี้ สำหรับโมเสส ผู้ซึ่งสับสนมาแปดสิบปี ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เมื่อพระเจ้าบอกว่าเราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า โมเสสอาจจะคิดว่า "เดี๋ยวๆ พ่อคนไหน ช่วยบอกหน่อยว่าใครเป็นพ่อของฉัน" และพระเจ้าได้มีคำตอบให้กับโมเสส เมื่อพระองค์เปิดเผยว่า เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัค และของยาโคบ
เมื่อโมเสสได้พบกับพระเจ้า โมเสสจึงได้เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา ว่าใครเป็นเจ้าของ (เป็นพระเจ้า) ของเขา และในอีกไม่กี่ข้อ พระเจ้าจะเปิดเผยต่อว่าเป้าหมายในชีวิตของโมเสสคืออะไร
อพยพ 3:7-10 (THSV11)
เมื่อสี่สิบปีก่อน โมเสสได้เห็นความอยุติธรรมและไม่เห็นมีใครที่จะเห็นความทุกข์ร้อนและช่วยให้พวกเขาได้รอดจากมือคนอียิปต์ บัดนี้ เขาได้เจอกับพระเจ้าผู้เห็น เข้าใจ และต้องการจะช่วยเหลือปลดปล่อยจากการกดขี่ บีบคั้นของชาวอียิปต์ และในวันนี้โมเสสได้รับมอบพันธกิจจากพระเจ้าให้ไปพาประชาชนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ชีวิตโมเสสเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขาได้รับการเรียกจากพระเจ้า จากหลานฟาโรห์พลัดถิ่นไปเป็นคนเลี้ยงแกะ กลายมาเป็นผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ทำงานรับใช้พระเจ้า ได้มีประสบการณ์ตื่นเต้น ใกล้ชิดกับพระเจ้า และได้เห็นพระสิริและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ประยุกต์และนำไปใช้
ดี.แอล. มูดดี้ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า โมเสสใช้เวลา 40 ปีแรกคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ และใช้เวลา 40 ปีที่สองเรียนรู้ว่าตัวเองไม่ได้สำคัญอะไร และใช้เวลา 40 ปีสุดท้ายเรียนรู้ว่าพระเจ้าสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยใช้คนที่ไม่สำคัญอย่างโมเสส
บทเรียนนี้ไม่ได้สอนเราเพียงว่าอย่าท้อถอยถึงจะอายุมากแล้วหรือไม่มีสิ่งใดที่จะสายเกินไปที่จะเริ่มทำ แต่บทเรียนนี้สอนความจริงที่ล้ำค่ากว่านั้น คือพระเจ้าคือผู้สร้างมนุษย์ทุกคน และพระองค์มีพระประสงค์ในชีวิตของเรา ถ้าเราไม่รู้จักพระเจ้า เราจะไม่รู้ตัวตนของเรา ว่าเราเป็นใคร เกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และใครเป็นเจ้าของตัวเรา บางคนอาจจะแสวงหาชีวิต และอาจหลงทางและสุดท้ายไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น บางคนอาจหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญเหมือนโมเสสสี่สิบปีแรก บางคนอาจใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีเป้าหมายเหมือนโมเสสในสี่สิบปีที่สอง แต่เมื่อเราได้พบพระเจ้า ได้กลับมาคืนดีกับพระองค์ มีความสัมพันธ์กับพระองค์ เราจะพบความหมายชีวิตที่แท้จริง บริบูรณ์ และ ยั่งยืน และเมื่อเราตอบรับการทรงเรียกของพระองค์ จัดลำดับสิ่งสำคัญในชีวิตใหม่ ปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต เมื่อเราเดินกับพระองค์ ทำงานรับใช้พระองค์ เราจะได้สัมผัสชีวิตอัศจรรย์ บริบูรณ์ และความรัก พระคุณ และพระสิริของพระองค์ เหมือนอย่างโมเสสในสี่สิบปีสุดท้าย
ในบทความถัดไปเราจะได้เรียนรู้ว่าพวกเราคริสเตียนเป็นใครในสายตาของพระเจ้า และพระองค์มีพระประสงค์ให้เราทำพันธกิจอะไร ผ่านเหตุการณ์คู่ขนานเมื่ออิสราเอลได้เดินทางมาถึงภูเขาซีนาย และพบพระเจ้าและรับพันธกิจเหมือนกับที่โมเสสได้รับที่โฮเรบ ขอพระเจ้าอวยพร