ทำไมการถ่อมใจถึงไม่ง่าย
ใคร่ครวญพระคัมภีร์ 1 เปโตร 5:6-7
ความถ่อมใจอาจจะเป็นคุณสมบัติของคริสเตียนที่เข้าใจง่ายแต่ทำยากที่สุดอย่างหนึ่ง
เรารู้ว่าความถ่อมใจเป็นสิ่งสำคัญ เราเทศนาที่คริสตจักรและเราสอนเด็กๆ ในเรื่องนี้ เราบอกตัวเองให้เป็นคนถ่อมใจ แต่ในการดำเนินชีวิต เมื่อสถานการณ์ต่างๆ เข้ามาในชีวิต หลายๆครั้งความถ่อมใจนั้นยากที่จะทำ
ในบทความนี้ เรามาดูตัวอย่างสามเหตุการณ์
เหตุการณ์ที่หนึ่ง: เมื่อความคิดของเราไม่ได้รับการรับฟังและยอมรับ
สมมติว่าคริสตจักรของคุณมีพันธกิจที่ตั้งใจจะทำ แต่ว่ายังไม่มีเงินทุนเพื่อสนับสนุนพันธกิจนั้น คุณมีความรู้และปริญญาเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ คุณมีไอเดียดีๆ ที่จะทำการระดมทุน คุณอธิษฐานเป็นเวลานานและเตรียมแผนงานอย่างดี แต่เมื่อคุณนำเสนอแผนงานนั้นกับที่ประชุมผู้นำคริสตจักร พวกเขากลับไม่เห็นด้วยและปฏิเสธไอเดียของคุณอย่างรวดเร็ว
ถ้าพวกเขาอธิบายเหตุผลให้คุณเข้าใจและคุณเห็นด้วยกับเหตุผลนั้น คุณคงไม่จำเป็นต้องถ่อมใจมากเท่าใด แต่ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับเหตุผลนั้น และต้องทำตามที่พวกเขาต้องการ นั่นแหละ ในเวลานั้น ความเย่อหยิ่งเข้าในใจกระซิบเบาๆ ว่า "ทำไม่พวกเขาไม่ฟังฉัน ความคิดของฉันดีกว่าตั้งเยอะ" และในเวลานั้นเอง ความถ่อมใจกลับไม่ง่ายที่จะทำ
เหตุการณ์ที่สอง: เมื่อคุณถูกมองข้ามในการเลื่อนตำแหน่ง
หรือสมมติว่าคุณกำลังรอการเลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงาน คุณรู้ว่าคุณพร้อมแล้วที่จะรับผิดชอบงานต่างๆ มากขึ้น คุณทำงานหนัก ทุ่มเทกับงานมาเป็นเวลานาน และคราวนี้จะเป็นโอกาสของคุณแล้ว
แต่เจ้านายกลับเลือกเพื่อนร่วมงานของคุณที่เขามีความสามารถด้อยกว่า
คุณรู้ว่าคุณไม่ควรคิดอิจฉา และไม่ควรประเมินตัวคุณสูงเกินกว่าความเป็นจริง แต่ในเวลานั้น สิ่งเหล่านี้พูดง่ายแต่ทำยากเหลือเกิน
เหตุการณ์ที่สาม: เมื่อคุณรู้ตัวว่าผิด แต่ยากที่จะยอมรับและเอ่ยปากขอโทษ
บางครั้งสถาณการณ์แบบนี้เกิดขึ้นที่บ้าน สมมติว่าคุณทำงานยุ่งมากๆ แต่จำเป็นต้องทำงานให้ทันกำหนด เมื่อกลับมาบ้าน ลูกๆ ก็เข้ามาหาเพราะคิดถึงและต้องการใช้เวลากับคุณ แต่ในเวลานั้นคุณกำลังเครียด เลยโกรธและพูดเสียงดังกับเด็กๆ ในคืนนั้นเอง คุณรู้ว่าคุณทำไม่ถูก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด การยอมรับความผิดพลาดกับคนที่มีสถานะด้อยกว่า และยอมรับความผิดและเอ่ยปากขอโทษกลับไม่ง่ายที่จะทำ
ความถ่อมใจนั้นไม่ง่ายเพราะเหตุผลที่ลึกซึ้งที่มีต้นตอตั้งแต่ในสวนเอเดน เมื่ออาดัมกับเอวาเลือกที่จะเชื่อตัวเองมากกว่าเชื่อพระเจ้า ที่จะเป็นผู้กำหนดเองว่าสิ่งใดดี และสิ่งใดชั่ว แทนที่จะเชื่อในพระเจ้า ตั้งแต่วันนั้นความบาปได้เข้ามาในจิตใจของมนุษย์ และทำให้มนุษย์มีความต้องการที่จะยกตัวเองขึ้น เหนือพระเจ้าและเหนือคนอื่นๆ รอบๆตัวเรา ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกๆ คน และเมื่อไรก็ตามที่มนุษย์ต้องถ่อมใจลง ความรู้สึกอยากจะยกตัวเองขึ้นจะเข้ามาต่อสู้ นี่คือสาเหตุว่าทำไมความถ่อมใจไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ในความบาป แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องเรียนรู้ใหม่ร่วมกับพระเจ้า
ในบทความนี้เราจะมาศึกษาร่วมกันจากจดหมายที่เปโตรเขียน เพื่อหนุนใจพี่น้องคริสเตียนในคริสตจักรในแคว้นเอเชียไมเนอร์ โดยเปโตรเริ่มต้นหนุนใจผู้นำในคริสตจักรที่จะดูแลฝูงแกะของพระเยซูคริสต์ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเพราะคริสเตียนในยุคนั้นกำลังถูกข่มเหงอย่างหนัก และเปโตรกล่าวต่อหนุนในผู้ที่อาวุโสน้อย ควรจะถ่อมใจยอมรับผู้ที่อาวุโสมากกว่า อย่างไรก็ดีเปโตรได้กล่าวหนุนใจต่อกับทุกๆ คนให้สวมความถ่อมใจ ในการปฏิบัติต่อกันและกัน
เปโตรเข้าใจดีถึงความท้าทายในการถ่อมใจ ตัวเขาเองเคยมีส่วนร่วมในการโต้เถียงภายในกลุ่มอัครสาวก ว่าผู้ใดคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ในวันนี้เปโตรได้กล่าวหนุนใจให้พี่น้องถ่อมใจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะ
— 1 เปโตร 5:5b
และบทเรียนนี้จะช่วยสอนเราถึงทัศนคติที่จะช่วยให้เราเอาชนะความเย่อหยิ่งต่อกันและกันได้ ดังนี้:
ความเย่อหยิ่งต่อกันและกันคือความเย่อหยิ่งต่อพระเจ้า ดังนั้นเราจึงควรถ่อมใจต่อพระเจ้าก่อน เพราะพระองค์ทรงฤทธิ์ ทรงพระปัญญา และทรงรักเรา เมื่อถ่อมใจต่อพระองค์ ความถ่อมใจต่อกันและกันจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ความเย่อหยิ่งต่อกันและกันคือความเย่อหยิ่งต่อพระเจ้า
— 1 เปโตร 5:6-7 (THSV11)
สังเกตุให้ดีว่าเปโตรเริ่มต้นประโยคนี้ด้วยคำว่า "เพราะฉะนั้น" และประโยคก่อนหน้านี้ เปโตรได้หนุนใจให้พี่น้องถ่อมใจยอมรับซึ่งกันและกัน แต่ในประโยคนี้ เปโตรได้หนุนใจให้พี่น้องยอมถ่อมตัวใต้พระเจ้า ความสัมพันธ์สองด้านนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมากมายเหลือเกิน
เราไม่สามารถรักเพื่อนบ้านเหมือนกันตัวเองโดยไม่ได้รักพระเจ้าอย่างสุดใจเช่นไร เราก็ไม่สามารถที่จะถ่อมใจต่อกันและกันได้ ถ้าเราไม่ได้ถ่อมตัวลงภายใต้พระเจ้าเช่นนั้น
เราอาจจะพยายามทำด้วยความสามารถของเราได้ แต่ความพยายามนั้นจะล้มเหลวลง และไม่สามารถทำได้ต่อเนื่องในทุกสถาณการณ์ เราจำเป็นต้องถ่อมตัวลงต่อพระเจ้าก่อนเสมอ
แต่ความสัมพันธ์นี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร? ตัวอย่างสามเหตุการณ์ที่พูดถึงมาเกี่ยวข้องอย่างไรกับความสัมพันธ์และความถ่อมใจของเรากับพระเจ้า เรามาลองดูตัวอย่างแรกที่ว่า พันธกิจของคริสตจักรต้องการเงินทุน และข้อเสนอเรื่องการระดมทุนของเราไม่ได้รับการยอมรับ มาเกี่ยวข้องอย่างไรความถ่อมใจของเรากับพระเจ้า?
มันเกี่ยวข้องอย่างมาก และจำเป็นเหลือกันที่เราจะต้องหาความเกี่ยวข้องนี้ให้เจอ
ที่จริงทุกๆ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และทุกๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราล้วนมี "ความจริงฝ่ายวิญญาณ" อยู่เบื้องหลังเสมอ ในกรณีนี้ถ้าเราใคร่ครวญให้ดี เราจะพบว่าคริสตจักรของเรานั้น แท้จริงแล้วเป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ซึ่งพระองค์ก็ทรงรักมาก ถ้าพระเจ้าต้องการให้คริสตจักรทำพันธกิจนี้ พระองค์ย่อมสามารถหาทุนเพื่อมาสนับสนุนพันธกิจนี้ได้ และวิธีของพระองค์ก็จะดีกว่าวิธีของเราอย่างมากมาย ดังนั้นเราจึงควรถ่อมใจลงภายใต้พระเจ้าและวางใจในพระองค์ และถึงแม้ว่าการระดมทุนและพันธกิจนี้จะไม่สำเร็จ เราก็จะวางใจในพระเจ้าได้ว่า บางทีพระเจ้าอาจจะไม่ต้องการให้คริสตจักรทำพันธกิจนี้ก็เป็นได้
ทัศนคติแบบนี้จะช่วยให้เราพุ่งความสนใจของเราไปที่พระเจ้า แทนที่จะสนใจแต่เพียงความคิดและไอเดียของเรา เมื่อเราจับตาที่พระเจ้า เราจะมองเห็นความจริงชัดเจนขึ้น ทำให้เรารู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องยืนยัน ผลักดันแผนการของเรามากจนเกินไป เราสามารถวางใจในพระเจ้าผู้ควบคุมทุกอย่างได้ และความชัดเจนนี้จะปลดปล่อยเราจากความเย่อหยิ่ง และช่วยให้เราถ่อมใจต่อคนอื่นๆ ได้ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่เห็นด้วยในความคิดของเขาทุกอย่างก็ตาม
สามเหตุผลที่เราควรถ่อมต่อพระเจ้า
มีเหตุผลต่างๆ มากมายที่สนับสนุนให้เราถ่อมใจต่อพระเจ้า แต่ในพระคัมภีร์ตอนนี้ (1ปต 5:6-7) อาจารย์เปโตรได้ให้เหตุผลกับเราไว้สามข้อ นั่นคือ 1) พระองค์ทรงฤทธิ์ 2) พระองค์ทรงพระปัญญา และ 3) พระองค์ทรงรักเรา
พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
สังเกตุสิ่งที่เปโตรเขียน
— 1 เปโตร 5:6a (THSV11)
"พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์" นี้คือมือที่ช่วยกู้อิสราเอลออกจากอียิปต์ คือมือที่แหวกทะเล และนำคนของพระองค์ออกจากการเป็นทาส ให้ได้รับชีวิตใหม่ เมื่อพวกเขาเดินบนแผ่นดินแห้ง ท่ามกลางน้ำที่แหวกออกนั้น "พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์" นี้คือมือที่ทำให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และมือเดียวกันนี้เอง เป็นมือที่ช่วยนำพวกเรา และมีฤทธ์ที่ช่วยพวกเราในทุกวันนี้เช่นกัน
ถ้าพระเจ้าสามารถทำให้พระเยซูฟื้นคืนขึ้นจากตายได้ เราจะสามารถมั่นใจได้ว่าพระองค์สามารถจัดเตรียมทุกสิ่งที่คริสตจักรและครอบครัวของเราจำเป็นต้องใช้ได้ ถ้าพระเจ้าช่วยกู้อิสราเอลได้ แน่นอนว่าพระองค์สามารถช่วยเหลือพันธกิจและคริสตจักรของพระองค์ได้ ถ้าพระองค์ทรงค้ำจุนจักรวาลนี้อยู่ แน่ทีเดียวว่าพระองค์สามารถจัดเตรียมทุกสิ่งในชีวิตของเราได้
แต่หลายๆ ครั้งเรากลับพลาดโอกาสที่จะได้มีประสบการณ์กับความทรงฤทธิ์ของพระเจ้า ถ้าเราพยายามยึดความคิดของตัวเราไว้ และยืนยันที่จะบังคับสถาณการณ์ต่างๆ ให้เป็นไปตามที่เราวางแผนไว้ เมื่อเป็นเช่นนั้น พระเจ้าก็ไม่บังคับและสอดแทรกเข้ามาทำงาน พระองค์รอคอยที่เราจะกลับใจและยอมปล่อยมือให้กับพระองค์ บางครั้งพระองค์อาจจะใช้การตีสอน และปัญหาต่างๆ เพื่อพยายามนำเราไปสู่การกลับใจและยอมจำนนกับพระเจ้า และเมื่อเรายอมจำนน พระองค์ก็มักจะช่วยกู้เราโดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์
เปโตรใช้คำว่า "จงละความกังวลทุกอย่างของพวกท่านไว้กับพระองค์" เพื่ออธิบายความหมายของการยอมจำนนกับพระเจ้า ความกังวลทุกอย่างนี้ไม่ได้หมายถึงโรควิตกกังวลหรือโรคซึมเศร้า (ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Anxiety ซึ่งอาจทำให้เราสับสนคิดว่าเปโตรพูดถึงโรคทางจิตแบบนี้) แต่ความหมายของคำนี้กว้างกว่านั้นมาก ครอบคลุมไปถึงความคิด ความวิตกกังวล ความรู้สึกเป็นห่วง หรือแม้กระทั่งความต้องการต่างๆ ของเรา ขอให้เราละความคิดนี้ทั้งหมดไว้ที่พระองค์ แล้วรับประสบการณ์พระหัตย์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า จงอย่าพลาดโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์เหล่านั้น
พระเจ้าผู้ทรงพระปัญญา
— 1 เปโตร 5:6-7 (THSV11)
ถ้ามีเวลาอันควร ก็ต้องมีเวลาที่ไม่สมควร สิ่งดีๆ ที่มาถึงในเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจจะทำร้ายเรามากกว่าช่วยเหลือเรา สิ่งดีๆ ที่มาผิดเวลาอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดี
บางทีโอกาสก้าวหน้าทางการงานนั้นอาจจะเป็นสิ่งดีที่ผิดเวลา และอาจจะไม่ได้ดีกับเราเสมอไป มันอาจจะนำเราออกห่างจากพระเจ้า หรือพระเจ้าอาจจะมีสิ่งอื่นๆ ที่ดีกว่าเตรียมไว้ให้เรา การที่เราไม่ได้รับการเลื่อนขั้น หรือไม่ได้รับเข้าเรียนในโรงเรียนที่เราคาดหวังไว้ หรือได้โอกาสในการเข้าร่วมธุรกิจหรือสร้างบริษัทใหม่ อาจจะไม่ได้เป็นเพราะพระเจ้าหวงสิ่งดีๆ เหล่านี้ไว้ แต่อาจจะเป็นการปกป้องจากพระเจ้า ไม่ให้เราตกลงไปในหลุมของการทดลอง ความเย่อหยิ่ง หรือ ขวากหนามที่จะมาขัดขวางการมีชีวิตใกล้พระเจ้ามากขึ้น
บางครั้งการได้รับเกียรติ ยกย่อง ในเวลาที่เหมาะสมนี้ อาจจะไม่ได้เกินขึ้นในช่วงชีวิตที่เราอยู่ในโลกนี้ด้วยซ้ำไป คุณอาจจะรู้จักผู้รับใช้คริสเตียนที่รับใช้พระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อและถ่อมใจ แต่พวกเขาไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ไม่ได้รับการยกชูขึ้นจากพระเจ้า แต่จงรู้ไว้เถิดว่าพระเจ้าไม่เคยผิดคำสัญญา คนเหล่านั้นล้วนจะได้รับการยกชูขึ้น ได้รับเกียรติในสิ่งที่เขาทำเพื่อพระเจ้าในช่วงชีวิตนิรันดร์เมื่อเขาฟื้นคืนขึ้นจากความตาย และเกียรติศักดิ์ศรีนั้น จะมากยิ่งกว่าศักดิ์ศรีใดๆ ที่เขาอาจจะได้รับในโลกนี้เมื่อพวกเขายังมีชีวิตอยู่
ให้เราดูพระเยซูเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ให้ดี พันธกิจของพระองค์ในโลกนี้สำเร็จบนไม้กางเขน ที่ถือเป็นความน่าอับอายในสังคมโลกนี้ แต่ความอับอายนี้กลับกลายมาเป็นศักดิ์ศรีถาวร ในวันนี้พระองค์ได้รับการยกชูให้นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า และพระเยซูได้เชื้อเชิญเราให้เดินตามรอยเท้าของพระองค์ ชีวิตแบบนี้จะดำเนินไปด้วยความเชื่อ เป็นความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น และคำสัญญาที่ยังไม่เป็นจริงแต่ยังเชื่อในเวลาของพระเจ้ามากกว่าความคิดของเรา
— ฮีบรู 11:39-40, 12:1-2 (THSV11)
พระเจ้าผู้ทรงรักเรา
— 1 เปโตร 5:7 (THSV11)
พระหัตย์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้าและพระปัญญาของพระองค์จะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าพระเจ้าไม่ได้รักเรา แต่ความจริงนั้นคือพระเจ้าทรงรักพวกเราอย่างมาก พระองค์ไม่เพียงรู้ว่าสิ่งใดดีที่สุด สิ่งใดเหมาะสม และเวลาใดจะดีที่สุด พระองค์ทรงต้องการสิ่งนั้นเพื่อเรา พระองค์ทรงรักและต้องการสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกๆ คน เรามั่นใจในสิ่งนี้ได้ เพราะถ้าพระองค์ไม่ได้หวงพระบุตรของพระองค์แต่ได้สละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา พระองค์ย่อมต้องการประทานสิ่งต่างๆสารพัดเพื่อเรา (รม 8:32)
ดังนั้นขอให้เราถ่อมตัวลงภายใต้พระเจ้าผู้ทรงรักเรา และยอมรับความรักนั้นให้เต็มที่ เพื่อที่เราจะไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาความรักและการยอมรับจากคนอื่นๆ อีก
ขอให้เราคิดถึงเรื่องราวของพ่อที่ไม่สามารถเอ่ยปากรับความผิดของตัวเองและขอโทษลูกได้ สิ่งที่อาจจะทำได้ยากเพราะโลกนี้สอนเราว่าเราต้องทำตัวให้ดูเข็มแข็งเพื่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เราจะมีอำนาจ ได้รับการนับถือ ยอมรับจากคนอื่นๆ ได้ โลกนี้สอนว่าความเข็มแข็งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรักและการยอมรับ
แต่ความจริงคือเราได้รับการยอมรับและความรักเต็มที่แล้วจากพระเจ้า ดังนั้น เราไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างความเข็มแข็งขึ้น เราสามารถซื่อสัตย์กับความเป็นจริง และตัวตนของเราได้ ทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น เมื่อเรารับความรักจากพระเจ้าและมั่นคงเพียงพอ เราสามารถแสดงความอ่อนแอ ยอมรับความผิด และขอการอภัยจากคนอื่นๆ ได้
ในแผ่นดินของพระเจ้า การเป็นผู้นำไม่จำเป็นต้องใช้ตำแหน่งหรืออำนาจ เพราะอำนาจที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากความรัก ความถ่อมใจและการรับใช้คนอื่นๆ (มก 10:35-45)
ดังนั้น พี่น้องที่รักทั้งหลาย วันนี้คุณกำลังเผชิญกับสถาณการณ์ใดๆ อยู่ที่รู้สึกว่าการยอมถ่อมใจกับคนรอบข้างทำได้ยากเหลือเกิน ขอให้คุณจำไว้ ว่าความเย่อหยิ่งต่อคนรอบข้างคือความเย่อหยิ่งต่อพระเจ้า ขอให้คุณมองหาให้เจอว่าสถาณการณ์นั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับพระเจ้า และพระองค์กำลังทำสิ่งใดอยู่ อธิษฐานขอสติปัญญากับพระเจ้า ใคร่ครวญพระคำที่เกี่ยวข้องจนกว่าคุณจะเจอความสัมพันธ์นั้น และเมื่อมองเห็นความจริงนั้นแล้ว ขอให้คุณถ่อมใจลงภายใต้พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงฤทธิ์ พระองค์ทรงพระปัญญา และพระองค์ทรงรักคุณ
และเมื่อคุณทำสิ่งนั้น พระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงจิตใจของคุณ ให้เกิดความถ่อมใจต่อคนรอบข้างเกิดขึ้น ไม่ใช่ด้วยความพยายามของคุณเอง แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทำที่งานอยู่ในจิตใจของคุณ ขอพระเจ้าอวยพรครับ