ความหมายของการนมัสการ
เมื่อมองดูรูปข้างบนนี้ ถ้าคุณต้องอธิบายรูปด้วยคำเพียงคำเดียว คุณจะใช้คำว่าอะไร?
คริสเตียนส่วนใหญ่จะตอบว่า "นมัสการ"
คำตอบนั้นไม่ผิดอะไร เมื่อพี่น้องในคริสตจักรร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า สิ่งนั้นคือการนมัสการ
แต่การนมัสการนั้นเป็นมากกว่าการมาร่วมร้องเพลง ความหมายของการนมัสการตามพระคัมภีร์มีความลึกซึ้งมากกว่านั้นมากนัก ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้จากพระคัมภีร์โรม 12:1 เพื่อที่เราจะเข้าใจความหมายของการนมัสการ และทำความเข้าใจว่าทำไมคริสเตียนจึงควรนมัสการพระเจ้า
ถวายตัวเป็นเครื่องบูชา
ผู้เขียนพระคัมภีร์ตอนนี้ (เปาโล) บอกว่าการนมัสการคือการถวายตัวเป็นเครื่องบูชา ถ้าพูดแบบนี้ คุณรู้สึกแปลกใจมั๊ย?
ลองดูรูปข้างบนอีกครั้งหนึ่ง แล้วลองคิดไปด้วยกัน ว่ารูปนี้ เกี่ยวข้องอย่างไรกับการถวายเครื่องบูชา บทความนี้จะช่วยให้เราได้เห็นภาพนี้ได้ชัดเจนขึ้น
เมื่อพูดถึงการถวายเครื่องบูชา หลายๆ คนอาจจะคิดไปถึงเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ปฐมกาล 4 ซึ่งเป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์ที่มนุษย์ได้ถวายเครื่องบูชาให้กับพระยาห์เวห์ คาอินกับอาเบล ลูกชายสองคนของอาดัมกับเอวา ได้นำสิ่งที่ตัวเองผลิตมาถวายพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระยาห์เวห์พอพระทัยอาเบลและเครื่องบูชาของเขา แต่คาอินและเครื่องบูชาของเขาพระองค์ไม่พอพระทัย (ปฐก 4:3-5)
นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์ถวายเครื่องบูชา มีทั้งเครื่องบูชาที่พอพระทัย และเครื่องบูชาที่ไม่พอพระทัย
หลังจากนั้นพระเจ้าได้บอกให้ชาวอิสราเอลถวายเครื่องบูชาให้กับพระองค์ที่หน้าเต็นท์นัดพบ โดยให้พวกเขานำสัตว์ที่ไม่มีตำหนิมาเผาบูชาทั้งตัว ถวายแด่พระองค์
แต่ในโรม 12:1 เปาโลให้ภาพใหม่กับเรา แทนที่จะเป็นว่าคริสเตียนนำสิ่งที่เรามีหรือสัตว์ไม่มีตำหนิมาถวาย กลับเป็นว่าเรานำร่างกายของตัวเราเองมาถวายพระเจ้า ร่างกายเราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต
พวกเราเป็นเครื่องบูชาที่ปราศจากตำหนิ ที่เรานำมาถวายแด่พระเจ้า
ถ้าดูภาษาดั้งเดิม เราจะเห็นความสวยงามของพระคัมภีร์ตอนนี้ คือ คำว่า "ตัวของท่าน" ที่เราจะนำมาถวายเป็นคำพหูพจน์ แต่คำว่า "เครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต" นั้นเป็นคำเอกพจน์ นี่แสดงว่าเปาโลต้องการให้เราเห็นภาพของพี่น้องทุกๆ คนในคริสตจักร นำชีวิตของเราแต่ละคนมาถวาย รวมกันเป็นหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเดียวที่มีเอกภาพ ชีวิตของพี่น้องที่นมัสการร่วมกันในคริสตจักรมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก ความบริสุทธิ์ของชีวิตของคนที่นั่งร้องเพลงข้างๆ เรามีผลต่อเครื่องบูชาของเรามากมายนัก
ถ้าการนมัสการคือการถวายเครื่องบูชาด้วยชีวิตของเรา การนมัสการนั้นมีความหมายไปไกลกว่าการร้องเพลงมากนัก การนมัสการพระเจ้าเป็นวิถีชีวิตของคริสเตียน ที่บริสุทธิ์ แตกต่างจากชีวิตของคนทั่วๆ ไป ให้เป็นชีวิตที่ทำได้ตามเป้าหมายของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์เพื่อปกครองโลกนี้ตามพระฉายของพระองค์ และทำทุกๆ อย่างเพื่อถวายเกียรติให้กับพระเจ้า
เมื่อเป็นเช่นนั้น การนมัสการ คือการใช้ชีวิตทุกๆ วันอย่างถูกต้อง ให้ทุกๆ สิ่งที่ทำ ทุกๆ ที่ที่ไป ทุกๆ คำพูด ทุกๆ การกระทำคือการนมัสการ
อย่างไรก็ดี เมื่อพี่น้องในคริสตจักรมาร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าในวันอาทิตย์ (บางโบสถ์อาจจะเป็นวันอื่น) สิ่งนี้เป็นการนมัสการเช่นเดียวกัน เพียงแต่ภายใต้ภาพภายนอกของการร้องเพลง มีภาพฝ่ายวิญญาณคือการที่พี่น้องทุกๆ คนต่างเอาชีวิตของตัวเอง มาวางบนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ แล้วถวายทั้งหมดให้กับพระเจ้า แล้วบอกพระองค์ว่า "หมดทั้งชีวิต หมดที่ข้ามี ..ทุกความรู้สึก ทุกความต้องการ ข้าขอยอมจำนนและวางทั้งหมดลงต่อพระยาห์เวห์"
ดังนั้นช่วงเวลาร้องเพลงนมัสการพระเจ้าจึงเป็นเวลาพิเศษ และเป็นโอกาสที่พี่น้องของเรา จะได้สงบใจใคร่ครวญชีวิตของตัวเองในอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสในการกลับใจ ขอโทษพระเจ้าในสิ่งที่ทำผิด และปรับหัวใจของเราให้หันไปหาพระเจ้า สำหรับหลายๆ คนจะเป็นโอกาสที่จะได้ยอมจำนนและกลับใจกับพระองค์เป็นเวลาที่เราจะได้สัมผัสถึงพระคุณของพระเจ้าที่สดใหม่ ได้คุกเข่าลงสรรเสริญและลุกขึ้นอีกครั้งด้วยความชื่นชมยินดีและขอบพระคุณ
ผู้ชมผู้เดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ การร้องเพลงนมัสการของเรามีผู้ชมอยู่เพียงผู้เดียวคือพระเจ้าของเรา
การนมัสการจึงไม่ใช่การแสดงดนตรีหรือคอนเสริต์ เพื่อหนุนใจพี่น้องคริสเตียน และที่ประชุมไม่ใช่ผู้ชม แต่เป็นผู้เข้าร่วมในการนมัสการร้องเพลงสรรเสริญ และร่วมถวายชีวิตของตัวเองให้กับพระเจ้า
ดังนั้นการนมัสการร่วมกันจะไม่ใช่ทีมนมัสการอยู่บนเวที และสมาชิกคนอื่นๆ อยู่ข้างล่างร้องเพลงกัน แต่จะมีความจริงฝ่ายวิญญาณ (Spiritual Reality) ที่เป็นว่าทุกๆคนต่างยืนอยู่บนแท่นบูชา ถวายชีวิตร่วมกันให้กับพระเจ้า ทีมนมัสการนั้นจะอยู่แถวหน้าในคริสตจักร และช่วยนำพี่น้องถวายชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกันดังภาพข้างบนนี้
ดังนั้นพันธกิจทีมนมัสการ จึงมีหน้าที่รับใช้พี่น้องในคริสตจักรเพื่อนำพวกเขาให้พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่พระเจ้า ช่วยให้พวกเขามีใจจดจ่อฝ่ายวิญญาณในการถวายชีวิตให้กับพระเจ้า
ทีมนมัสการจึงเป็นเหมือนป้ายที่ชี้ไปที่พระเจ้า ผู้สมควรได้รับพระเกียรติและพระสิริของพระองค์
ลองดูรูปข้างบนนี้ ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่อคิวเพื่อมาถ่ายรูปกับป้ายนี้ที่เมืองลาสเวกัส ทุกๆคนต่างพุ่งความสนใจของตนไปที่ป้าย เสมือนกับว่าป้ายนี้คือเมืองลาสเวกัสเสียเอง
ทีมนมัสการจำเป็นต้องระมัดระวังการทดลองนี้ให้ดี เพื่อตัวเองจะไม่กลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจของพี่น้องในคริสตจักรไป
ทีมนมัสการไม่มีหน้าที่ในการสร้างบรรยากาศ เพื่อช่วยให้ผู้ชม "รู้สึก" ว่าได้เข้าใกล้หรือได้พบพระเจ้าผู้สร้างและครอบครองฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลก เพราะความรู้สึกที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่สามารถมาทดแทนการทรงสถิตย์ที่แท้จริงของพระเจ้าได้
แต่ทีมนมัสการมีหน้าที่เชื้อเชิญและนำพี่น้องในคริสตจักรให้มีส่วนร่วมในการถวายชีวิตเพื่อสรรเสริญพระเจ้าในขณะที่ตัวเองจำเป็นต้องถ่อม ต้องต่ำต้อยลง หายไปใน background ของการนมัสการให้ได้มากที่สุด เมื่อพี่น้องไปพบและเข้าเฝ้าพระเจ้า พวกเขาจะได้รับความชื่นชมยินดีที่แท้จริง
บรรยากาศที่พยายามสร้างขึ้น การแต่งตัวให้โดดเด่น กล้องวีดีโอ แสงสี ดนตรีและเสียงร้องที่พยายามโชว์ออฟ สามารถกลับกลายเป็นสิ่งที่มารบกวน ดึงดูดความสนใจของคริสตจักรให้ห่างออกไปจากพระเจ้า
เพลงที่พี่น้องในคริสตจักรไม่คุ้นเคย ไม่สามารถร่วมร้องได้ จะกลายเป็นเครื่องถ่วง ไม่ให้พี่น้องได้ร่วมกันเข้ามานมัสการพระเจ้า เสียงดนตรีที่ดังจนกลบเสียงร้องของที่ประชุม อาจกลายเป็นสิ่งที่มาบดบังขัดขวางการถวายเครื่องบูชาของคริสตจักรได้ ถ้าเราไม่ระมัดระวัง
ดังนั้นทีมนมัสการจึงควรให้ความสำคัญกับการช่วยที่ประชุมให้จดจ่อความสนใจไปที่พระเจ้า และกำจัดสิ่งรบกวนที่อาจจะมาเบี่ยงเบนความสนใจไปจากพระองค์ให้มากที่สุด
ตอบสนองพระคุณขอบพระเจ้า
การนมัสการโดยการถวายชีวิตของเราเป็นการตอบสนองพระคุณของพระเจ้า เปาโลเริ่มต้นบทที่ 12 ด้วยคำว่า "ดังนั้น" และ "โดยเหตุแห่งความเมตตากรุณาของพระเจ้า" นั่นแสดงว่าคำวิงวอนของเปาโล มีเหตุผลมาจากสิ่งที่เขาเขียนไว้ใน 11 บทก่อนหน้า ซึ่งพูดถึงแผนการนำมนุษยชาติให้มาพบความรอดในพระเยซูคริสต์ และพระคุณความรักของพระองค์
การนมัสการจึงไม่ใช่หน้าที่ หรือสิ่งที่คริสเตียนต้องพยายามทำ การร้องเพลงไม่ได้มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้เรารู้สึกดีๆ ซาบซึ้ง หรือช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา จริงอยู่ที่สิ่งดีๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แรงจูงใจในการนมัสการ แรงจูงใจที่แท้จริงของคริสเตียนคือการขอบพระคุณในสิ่งที่พระเจ้าได้ทำ
การนมัสการจึงไม่ได้มีไว้เพื่อให้พระเจ้ารักหรืออวยพรมนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์แสดงออก ตอบแทนความรักของพระเจ้า
ดังนั้น คริสเตียนทุกคนจึงไม่จำเป็นต้องกลัวการร้องเพลงไม่เก่ง ร้องผิดคีย์ หรือเล่นดนตรีไม่เพราะ หรือเล่นผิดจังหวะ แต่สิ่งที่คริสเตียนต้องเตรียมตัวให้พร้อม คือชีวิต จิตใจ และจิตวิญญาณที่พร้อมยอมจำนน และมอบถวายแก่พระองค์
แน่ทีเดียวที่นักดนตรีและผู้นำทุกคนควรจะฝึกซ้อม เตรียมตัวในการเล่นดนตรีหรือนำที่ประชุม แต่การเตรียมไม่ใช่เพื่อแสวงหาการพอพระทัยของพระเจ้า การยอมรับจากพระองค์และคนรอบข้างในคริสตจักร แต่เราต้องเตรียมตัวให้ดี เพื่อให้ดนตรีและการร้องของเราราบเรียบ ไม่มีข้อผิดพลาด ไม่ไปสะดุด ทำให้ที่ประชุมหันเหความสนใจมาเห็นความผิดพลาด เพื่อเขาจะได้จดจ่อกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี ความผิดพลาดต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้น เรามั่นใจได้ในพระคุณพระเจ้าที่จะปกคลุมความผิดพลาดนั้น การร้องผิดคีย์ไม่ทำให้การนมัสการด้อยค่าไป แต่หัวใจที่เย่อหยิ่งต่างหากที่จะทำลายการนมัสการ
ทีมนมัสการที่เข้าใจความจริงนี้จะขับเคลื่อนไปด้วยพระคุณพระเจ้าที่ช่วยให้เกิดความถ่อมใจ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความสมบูรณ์แบบและความจริงใจ ที่จะถวายเกียรติให้กับพระเจ้าอย่างแท้จริง
ไฟพระวิญญาณกับเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัย
พระคัมภีร์ใช้ภาพของไฟพระวิญญาณที่ชำระชีวิตของคริสเตียนที่วางชีวิตของตนลงบนแท่นบูชา ไฟของพระวิญญาณนี้เผาผลาญชำระสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ ความบาป พระเจ้าอื่นๆ ในชีวิตของเรา เหลือไว้เพียงสิ่งที่ดีพร้อมและบริสุทธิ์ที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า แต่กระบวนการชำระนี้มีเงื่อนไข คือพระเจ้าอ่อนโยนและไม่ต้องการบังคับมนุษย์ พระองค์จะไม่ชำระสิ่งที่มนุษย์ไม่ได้ยอมนำไปวางไว้บนแท่นบูชาของพระองค์ด้วยความเต็มใจ การชำระมีเงื่อนไขอยู่บนการยอมรับในความบาป และยอมจำนนกับพระเจ้า เมื่อเรายอมจำนน ยอมรับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า เราจึงจะได้รับการเปลี่ยนแปลงนั้น (รม 12:2)
จริงอยู่ที่บางครั้งพระเจ้าอาจจะใช้การทนทุกข์ การทดสอบ สถาณการณ์ร้ายๆ เป็นเครื่องมือกระตุ้นและเรียกร้องให้มนุษย์กลับใจมาหาพระองค์ แต่ถ้ามนุษย์ไม่ได้กลับใจ ยอมรับการเปลี่ยนแปลง อุปนิสัยเดิมๆ ความต้องการทางโลก ความบาป และตัวตนเดิมๆ จะไม่ได้รับการชำระด้วยไฟของพระองค์ แต่เมื่อใดที่มนุษย์ยอมจำนนกับพระเจ้า เรามั่นใจได้ว่าพระวิญญาณจะมีฤทธิ์เดช ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์
ความบริสุทธิ์ใน รม 12:1 นี้มีความเกี่ยวข้องกับการนมัสการด้วยจิตวิญญาณ ที่เริ่มต้นจากหัวใจภายในและแสดงออกมาเป็นการกระทำภายนอก พระเจ้าทรงมองลึกลงไปที่จิตใจของมนุษย์ ถึงแรงจูงใจ การยอมรับพระเจ้าว่าความคิดนั้นสอดคล้องกับความจริงของพระองค์และตัวเรามากเพียงใด ดังที่พระเยซูได้กล่าวกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำว่า "คนที่จะนมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง" (ยน 4:24) ซึ่งเราจะลงรายละเอียดในบทความข้างหน้า
เมื่อเปาโลกล่าวถึง "เครื่องบูชาที่บริสุทธิ์ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า" นั้น เปาโลไม่ได้บอกว่าชีวิตของคริสเตียนที่นำมาถวายจะต้องเป็นชีวิตที่ไม่มีตำหนิ ไม่มีความบาปใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว คริสเตียนทุกๆ คนย่อมรู้ตัวเองดีว่าไม่ว่าพยายามถึงเพียงใด ชีวิตของเรายังคงมีข้อบกพร่องไม่สมบูรณ์อยู่
เมื่อเป็นเช่นนั้น ชีวิตที่เรานำมาถวายจะบริสุทธิ์ และเป็นที่ยอมรับของพระองค์ได้อย่างไร?
คำตอบอยู่ที่พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงยืนอยู่แถวหน้าสุด เป็นลูกแกะที่ปราศจากตำหนิ พระองค์ทรงถวายตัวพระองค์เองให้กับพระเจ้า และกับมนุษย์ทุกๆ คนเป็นเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์ที่แท้จริง และเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ พระโลหิตของพระเยซูที่ปกคลุมเราอยู่จะปกปิดบาปต่างๆ มากมายได้ (1ปต 4:8)
เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ ความชอบธรรมของพระเยซูทำให้เราสามารถถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาได้อย่างมั่นใจ เพราะพื้นฐานสิ่งนี้ไม่ใช่เพราะความดีของเรา แต่เป็นเพราะความดีของพระเยซูคริสต์
อย่างไรก็ดี พระคุณของพระเจ้าไม่ทำให้เรานิ่งเฉยและจมอยู่ในความผิดบาป พระเจ้าทรงรักเรา และบัดนี้เราก็รักพระองค์ เราจึงต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับการยอมรับ แต่เป็นการตอบสนองพระคุณของพระเจ้า เราจึงร่วมกันกับพี่น้องในพระคริสต์ที่จะยอมวางทุกด้านของชีวิตลงบนแท่นบูชามากขึ้นๆ ในทุกๆ วัน เพราะเรารักที่จะรับการเปลี่ยนแปลง เพราะพระเจ้าทรงสมควรที่จะได้รับเครื่องบูชาที่ดีขึ้นนั้น
แรงสองด้านที่สมดุลกันอยู่นี้เอง (การมั่นใจในการยอมรับของพระเจ้าผ่านโลหิตพระคริสต์ และ การยอมรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อแสวงหาชีวิตที่บริสุทธิ์มากขึ้น) เป็นสิ่งที่ทำให้คริสเตียนแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ ในโลกนี้ และความหลักข้อเชื่อนี้เป็นส่วนสำคัญในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เมื่อคริสเตียนวางชีวิตของตนลงบนแท่นบูชา ไฟของพระองค์จะชำระเรา และพระคุณของพระองค์จะเสริมกำลังเรา และในความสมดุลนี้เองที่สำแดงให้เห็นความหมายของการนมัสการ ที่เป็นมากกว่าเสียงเพลง แต่เป็นการดำเนินชีวิต (lifestyle)
ดังนั้น การนมัสการจึงเป็นมากกว่าการร้องเพลงในวันอาทิตย์ แต่เป็นการถวายชีวิตร่วมกันแด่พระเจ้า รับการชำระจากพระวิญญาณ วางใจในพระเยซูคริสต์พระบุตรผู้ปกคลุมเราไว้ และมั่นใจในความรักและการยอมรับของพระบิดา การนมัสการที่แท้จริง จึงหมายถึงชีวิตบนแท่นบูชาเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกๆ วัน