เรื่องย่อ
“ขอพระองค์พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเรา” สดุดีเหล่านี้ถ่ายทอดเสียงเรียกร้องของผู้ที่ไว้วางใจในพระเจ้า แม้ในช่วงเวลาที่โลกเต็มไปด้วยความอยุติธรรมและความวุ่นวาย พระองค์ยังคงยืนหยัดในความซื่อสัตย์และความหวัง ยื่นมือช่วยเหลือผู้ที่ไว้ใจในความยุติธรรมของพระองค์ พร้อมทั้งประกาศความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องและนำพาใจของผู้นมัสการไปสู่ความสงบ ในที่สุด ความมั่นใจในพระปิฎกของพระเจ้าเป็นแสงสว่างนำทางในทุกสถานการณ์ สอนให้เรารวมใจในความซื่อสัตย์และความไว้วางใจต่อพระองค์อย่างมั่นคง
ดาวิดเริ่มสดุดี 26 ด้วยท่าทีที่ดูเหมือนเป็นการโอ้อวดถึงความชอบธรรมของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว เขาตระหนักว่าความชอบธรรมของเขามาจากความรักมั่นคงของพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เตรียมเขาให้พร้อมและทำให้เขาสามารถดำเนินตามความซื่อสัตย์ของพระเจ้าได้ ดาวิดต้องการที่จะแตกต่างจากคนหน้าซื่อใจคดและคนโกหกที่ทรยศต่อเขา โดยมุ่งเน้นที่จะดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์เพื่อความรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และขอให้พระองค์พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาเมื่อเขาแยกตัวจากผู้กระทำความชั่ว
สดุดีบทที่ 40 สะท้อนถึงช่วงเวลาในชีวิตของดาวิดที่เขาอดทนรอคอยพระเจ้า เช่นเดียวกับที่เขารอคอยถึงสิบห้าปีเพื่อที่จะได้เป็นกษัตริย์ พระเจ้าทรงดึงเขาขึ้นมาจากหลุมแห่งการทำลายล้างเมื่อซาอูลพยายามจะฆ่าเขา ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าอย่างต่อเนื่องและประกาศความดีของพระเจ้าให้ทุกคนได้ยิน แต่ในข้อที่ 12 สิ่งต่างๆ กลับพลิกผันไปอย่างยากลำบาก ความชั่วช้าและความบาปของเขา เช่นเดียวกับเรื่องของบัทเชบาและอุรียาห์ ได้ครอบงำเขา เขาขอให้พระเจ้าช่วยเขาให้พ้นจากผลที่ตามมาจากความบาปของเขา และเผชิญหน้ากับศัตรูที่ต้องการเอาชีวิตเขา ดาวิดตระหนักถึงความยากจนฝ่ายวิญญาณของตนเอง และรู้ว่าพระเจ้าคือความหวังเดียวของเขา
แม้ว่าดาวิดจะรู้สึกโกรธเคืองอย่างมากในสดุดี 58 แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะแก้แค้นด้วยตนเอง เขามุ่งหวังเพียงความยุติธรรมที่มาจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม ในสดุดี 61 ดาวิดเตือนตัวเองถึงการจัดเตรียมของพระเจ้าในอดีต และปรารถนาที่จะกลับไปยังเยรูซาเล็มเพื่อเข้าใกล้พระเจ้า ในสดุดี 62 ดาวิดเผชิญหน้ากับการทรยศหักหลังและการโกหก แต่เขาก็เลือกที่จะระบายความในใจต่อพระเจ้าผู้ทรงเป็นศิลาและความมั่นคงของเขา สดุดี 64 บรรยายถึงขั้นตอนของศัตรูของดาวิด และแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของดาวิดว่าพระเจ้าจะทรงยิงลูกศรของพระองค์ใส่พวกเขา และในตอนท้ายของบทเพลง ดาวิดกำลังเทศนากับตัวเองให้ชื่นชมยินดี แม้ในท่ามกลางโศกนาฏกรรม ดาวิดรู้วิธีที่จะแสดงความเศร้าโศกของเขาต่อพระเจ้า และเข้าใจว่าการนมัสการและการคร่ำครวญเป็นสิ่งที่ไปด้วยกันได้
ข้อคิด: สดุดี 26; 40; 58; 61-62; 64
“พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชาและของถวาย ไม่ได้ทรงเรียกร้องเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาป แต่ทรงเปิดหูของข้าพระองค์… ‘ข้าพระองค์พอใจที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในใจของข้าพระองค์’ ” (สดุดี 40:6–8) ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เปิดเผยอะไรเกี่ยวกับพระเจ้าในพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็นที่ที่เครื่องบูชาและเครื่องบูชาทั้งหมดถูกระบุเป็นพระบัญญัติ? ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เผยให้เห็นว่าระบบการถวายบูชาที่พระเจ้าตั้งขึ้นนั้นไม่เคยเพียงพออย่างสมบูรณ์ และไม่เคยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นเช่นนั้น เพราะการตายของพระเยซูเป็นแผนเสมอ แพะและวัวไม่เคยเพียงพอ พระเจ้าอยู่เคียงข้างใจเราเสมอ ไม่ใช่เครื่องบูชาของเรา พระองค์ไม่ได้พอพระทัยที่ผู้คนมอบสัตว์ที่ตายแล้วให้พระองค์ แต่ทรงพอพระทัยที่จะเป็นผู้ประทาน—ให้ผู้คนมีหูที่ได้ยินพระองค์ และให้หัวใจที่รู้ว่าพระองค์อยู่ที่ซึ่งเป็นความปีติยินดี!
คำถาม
1. สดุดี 26 และ 40 เน้นความซื่อสัตย์และความไว้วางใจในพระเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราจะสามารถนำหลักการของการแสวงหาความบริสุทธิ์และความซื่อสัตย์มาใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความไว้วางใจในคริสตจักรและครอบครัวได้อย่างไร?
2. สดุดี 58, 61-62 และ 64 แสดงออกถึงความเชื่อมั่นในพระเจ้าในการต่อสู้กับความอยุติธรรมและความทุกข์ใจ เราจะสามารถนำแนวคิดนี้มาใช้ในการเผชิญหน้ากับความไม่เป็นธรรมในสังคมหรือความยากลำบากในชีวิตประจำวันอย่างไร เพื่อให้เรามีความกล้าหาญและความหวัง?
สดุดี 40 เป็นบทเพลงที่เต็มไปด้วยความเชื่อ ความไว้วางใจ และการสรรเสริญพระเจ้า ซึ่งมีข้อคิดและหลักการมากมายที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตของเราในปัจจุบันได้ครับ ลองมาดูกันนะครับ:
1. การรอคอยด้วยความอดทนและความหวัง (สดุดี 40:1-3): ในโลกที่ทุกอย่างดูเหมือนจะเร่งรีบไปหมด สดุดีบทนี้สอนให้เรา รู้จักรอคอยพระเจ้าด้วยความอดทนและความหวัง เหมือนที่ดาวิดรอคอยการช่วยเหลือจากพระองค์ การฝึกความอดทนจะช่วยให้เราไม่ท้อแท้เมื่อเผชิญกับความล่าช้าหรือความยากลำบาก และความหวังในพระเจ้าจะเป็น สมอที่มั่นคงในชีวิตของเรา
2. การวางใจในพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด (สดุดี 40:4-5): สดุดีเน้นย้ำถึง ความสุขของผู้ที่วางใจในพระเจ้า และไม่หันไปพึ่งพาสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน เช่น ความมั่งคั่งหรืออำนาจ การตระหนักว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และทรงทำสิ่งอัศจรรย์มากมาย จะช่วยให้เราลดความกังวลและหันมาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับพระองค์
3. การเชื่อฟังและการทำตามน้ำพระทัย (สดุดี 40:6-8): ดาวิดแสดงออกถึงความปรารถนาที่จะ ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ มากกว่าการถวายเครื่องบูชาตามธรรมเนียม สิ่งนี้สอนเราว่า การเชื่อฟังที่แท้จริงมาจากใจที่รักและปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระองค์
4. การประกาศพระคุณและความจริงของพระเจ้า (สดุดี 40:9-10): ดาวิดไม่เก็บงำพระคุณและความจริงของพระเจ้าไว้เพียงผู้เดียว แต่ ประกาศให้คนมากมายได้รับรู้ เช่นเดียวกัน เราควรเป็นพยานถึงความดีงามของพระเจ้าในชีวิตของเรา และแบ่งปันความจริงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตให้กับผู้อื่น
5. การร้องทูลขอความช่วยเหลือในยามยากลำบาก (สดุดี 40:11-13): สดุดีบทนี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ผู้ที่เข้มแข็งในความเชื่อก็เผชิญกับความทุกข์ยากและต้องการความช่วยเหลือ การ ร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยความจริงใจ เป็นสิ่งที่ถูกต้องและพระองค์ทรงพร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเรา
6. ความตระหนักในความบาปและความอ่อนแอของตนเอง (สดุดี 40:12): ดาวิดยอมรับว่าบาปของท่านมากมายจนเกินจะรับไหว การ ตระหนักถึงความอ่อนแอและบาปของตนเอง เป็นก้าวแรกสู่การได้รับการอภัยและการเยียวยาจากพระเจ้า
7. ความเชื่อมั่นในการช่วยเหลือของพระเจ้า (สดุดี 40:13-17): แม้จะเผชิญกับความยากลำบาก ดาวิดยังคง มีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงเข้ามาช่วยเหลือ และปลดปล่อยท่าน หลักการนี้สอนให้เรายึดมั่นในความเชื่อ แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนสิ้นหวัง
8. การถวายเกียรติและสรรเสริญแด่พระเจ้า (สดุดี 40:16): ท้ายที่สุด สดุดีบทนี้จบลงด้วยการ ให้เกียรติและสรรเสริญพระเจ้า สำหรับความช่วยเหลือและความรอดพ้นที่พระองค์ทรงมอบให้ การขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินชีวิตคริสเตียน
สดุดี 40 สอนให้เราดำเนินชีวิตด้วยความอดทนในการรอคอย วางใจในพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด เชื่อฟังและทำตามน้ำพระทัย ประกาศพระคุณและความจริง ร้องทูลในยามยากลำบาก ตระหนักในความบาป เชื่อมั่นในการช่วยเหลือ และถวายเกียรติแด่พระเจ้า หลักการเหล่านี้ยังคงเป็นจริงและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการดำเนินชีวิตของเราในโลกปัจจุบันนี้ครับ