เรื่องย่อ
ยาโคบผู้ชราได้อวยพรให้แก่ลูกหลานของเขา โดยเฉพาะโยเซฟและลูกชายทั้งสอง การอวยพรเหล่านี้มีความหมายลึกซึ้ง แสดงถึงการถ่ายทอดมรดกและความหวังสำหรับอนาคต หลังจากนั้น ยาโคบก็สิ้นใจอย่างสงบ โยเซฟแสดงความเคารพต่อบิดาผู้ล่วงลับด้วยการจัดพิธีฝังศพอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนสิ้นใจ ยาโคบยังได้สั่งให้ลูกหลานนำกระดูกของเขาไปฝังที่เมืองคานาอัน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและความผูกพันกับแผ่นดินบรรพบุรุษ และในที่สุด โยเซฟก็ได้ดูแลพี่น้องของเขาและครอบครัวจนกระทั่งสิ้นอายุขัย เป็นการปิดฉากเรื่องราวของยาโคบและโยเซฟ โดยเน้นถึงความรัก การให้อภัย และความสำคัญของครอบครัว
ขอแสดงความยินดีกับการอ่านพระคัมภีร์จบในหนึ่งปี วันนี้ท่านได้อ่านปฐมกาลจบเล่มแล้ว น่าชื่นชมยินดีมากครับ การอ่านทุกวันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องได้รับการฝึกฝนจนเป็นนิสัย การตอบคำถามท้ายบทก็จะช่วยให้เราเติบโต อ่านแล้วไม่ลงคำตอบก็เหมือนผู้ชมที่ได้แต่เชียร์บอลอยู่ข้างสนาม ถ้าอยากเกิดผลอย่างเต็มที่ก็เริ่มต้นลงสนามครับ และอย่าอ่านแค่คำอธิบายอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญคือพระคัมภีร์น่ะครับ
ในวันนี้ยาโคบได้รับคำสัญญาจากพระเจ้าว่าจะประทานลูกหลานมากมายและแผ่นดินคานาอันแก่เขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อของเขาที่มีต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ชื่อของพระเจ้าบ่งบอกถึงลักษณะและการกระทำของพระองค์ นอกจากนี้ ถ้าเราย้อนกลับไปยังพระคัมภีร์ เรายังพบพระนามอื่นๆ ของพระเจ้าที่สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่และความรักของพระองค์ที่มีต่อประชากรของพระองค์
การที่ยาโคบอวยพรบุตรของโยเซฟ แสดงให้เห็นถึงคนที่มีใจใจกว้าง แม้เขาจะไม่ได้เป็นพ่อแท้ๆ แต่เขาก็ยินดีรับลูกๆ ของโยเซฟเป็นส่วนหนึ่งของมรดกของเขา การไขว้มือของยาโคบในขณะที่อวยพรเด็กชายสองคนนี้ สะท้อนถึงแผนการที่พระเจ้ามีในการพลิกผันสิ่งที่คาดไม่ถึง และมอบพรให้กับผู้ที่อาจไม่สมควร ดังนั้น เอฟราอิมจึงได้รับอำนาจการปกครอง ซึ่งยืนยันว่าพระเจ้าใช้ความยากลำบากและการพลิกผันเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและมอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ที่ภักดีต่อพระองค์
ท้ายที่สุด การให้อภัยของโยเซฟต่อพี่ชายของเขาหลังจากยาโคบเสียชีวิต เป็นตัวอย่างที่เชื่อมโยงถึงความรักและความเมตตาของพระเจ้า แม้พี่ชายจะกลัวว่าโยเซฟจะแก้แค้น แต่โยเซฟกลับเตือนพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้า ผู้ทรงสร้างหนทางให้พวกเขามีชีวิตอยู่ผ่านวิถีทางที่ยากลำบาก ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขายังยืนยันความเชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าว่าแผ่นดินคานาอันจะเป็นของประชากรของเขา ทำให้เราได้เห็นถึงความมั่นใจในพระวจนะของพระเจ้าที่จะไม่เปลี่ยนแปลง.
ข้อคิด: ปฐมกาล 48-50
ในคำอวยพรของยาโคบต่อยูดาห์ เราเห็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูในฐานะ “สิงโตแห่งยูดาห์” โดยในมีคาห์ 5:2 บอกไว้ว่า ผู้ปกครองอิสราเอลจากเผ่ายูดาห์จะเกิดที่เบธเลเฮม คำอวยพรนี้แสดงให้เห็นว่า “เขาซักเสื้อผ้าของเขาด้วยเหล้าองุ่น และซักเสื้อของเขาด้วยเลือดองุ่น” (49:11) สัญญาณนี้สื่อถึงพระโลหิตของพระคริสต์และเชื่อมโยงกับวิวรณ์ 19:13 ที่ระบุว่าพระองค์ทรงสวมเสื้อคลุมที่จุ่มในเลือด มีภาพและคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระคริสต์มากมายในพันธสัญญาเดิมที่ไม่อาจจินตนาการได้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะภาพนี้ที่ยาโคบอวยพรยูดาห์ ซึ่งบ่งบอกถึงพระเมสสิยาห์ที่จะเสด็จมา ผู้ทรงครองราชย์ชั่วนิรันดร์ และคทาจะไม่พรากจากพระองค์ไป พระเยซูคือกษัตริย์ของเรา และพระองค์ประทับอยู่ในความชื่นชมยินดีของเรา!
คำถาม
1. ในบทที่ 48 ยาโคบได้อวยพรแก่เอฟราอิมและมานัสเสห์ มีการถ่ายโอนความรับผิดชอบและมรดกจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นต่อไป คุณคิดว่าการถ่ายทอดคุณค่าหรือความเชื่อในครอบครัวมีความสำคัญอย่างไรในปัจจุบัน? เราสามารถทำให้เยาวชนเข้าใจและแสดงคุณค่าเหล่านั้นได้อย่างไร?
2. ในบทที่ 50 เมื่อโยเซฟให้อภัยพี่น้องและให้พวกเขามาอยู่ร่วมกันในอียิปต์ คุณเห็นว่าความสามารถในการให้อภัยและการสร้างความสัมพันธ์ใหม่มีบทบาทอย่างไรต่อการฟื้นฟูและความเข้มแข็งในสังคมปัจจุบัน? คุณคิดว่าอะไรคืออุปสรรคที่ทำให้คนไม่สามารถให้อภัยได้ง่าย และเราจะเอาชนะอุปสรรคนั้นได้อย่างไร?
10 ความคล้ายคลึงระหว่างโยเซฟกับพระเยซู
เรื่องราวของโยเซฟและพระเยซูในพระคัมภีร์มีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง และเป็นแบบอย่างที่สำคัญสำหรับเราในการดำเนินชีวิต การเปรียบเทียบทั้งสองท่านจะช่วยให้เราเข้าใจแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น
1. การถูกเกิดในสถานการณ์พิเศษ: โยเซฟเกิดในครอบครัวที่มีความรัก แต่ต่อมาเขาก็ต้องเผชิญกับความอิจฉาจากพี่น้อง ในขณะที่พระเยซูเกิดมาในครอบครัวที่ธรรมดาแต่พิสูจน์ให้เห็นถึงการเกิดที่มหัศจรรย์จากพระวิญญาณบริสุทธิ์
2. การถูกทรยศ: โยเซฟถูกพี่น้องของเขาทรยศและขายไปเป็นทาส (ปฐมกาล 37:28) ขณะที่พระเยซูถูกยูดาสทรยศขายพระองค์ด้วยเงิน 30 เหรียญเงินให้กับพวกปุโรหิตที่จะมาอายัดพระองค์ (มัทธิว 26:14-16)
3. การถูกปฏิเสธ: โยเซฟถูกไล่ออกจากบ้านโดยพี่น้องของเขา ขณะที่พระเยซูถูกปฏิเสธจากประชาชนและผู้นำศาสนา
4. การประสบความทุกข์: โยเซฟทนทุกข์ในคุก (ปฐมกาล 39:20) เช่นเดียวกับพระเยซูที่ทรงเผชิญกับการถูกตัดสินโทษและความทุกข์ในเวลาที่ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน
5. การมีความฝันหรือการเปิดเผย: โยเซฟได้รับความฝันที่บอกถึงอนาคตของเขาน้อยๆ (ปฐมกาล 37:5) ขณะที่พระเยซูบอกล่วงหน้าถึงความตายและการฟื้นคืนชีพของพระองค์
6. การเป็นผู้ช่วยให้รอด: โยเซฟกลายเป็นผู้ช่วยชีวิตสำหรับอิสราเอลในช่วงเกิดความอดอยาก (ปฐมกาล 41:46-57) ในขณะที่พระเยซูทรงนำมาซึ่งความรอดและชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์
7. การให้ความสำคัญกับการให้อภัย: โยเซฟให้อภัยพี่น้องเมื่อพวกเขามาขอความช่วยเหลือ (ปฐมกาล 45:4-5) และพระเยซูทรงให้อภัยผู้ที่ทำร้ายพระองค์
8. การเข้ามาของผู้ที่ห่วงใย: โยเซฟถูกชูขึ้นเป็นรองฟาโรห์และมีอำนาจ (ปฐมกาล 41:46) ในขณะที่พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์ของเราและมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง
9. การเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระเจ้า: ชีวิตของโยเซฟถูกนำไปสู่การบรรลุแผนของพระเจ้าในการช่วยอิสราเอล (ปฐมกาล 50:20) เช่นเดียวกับพระเยซูที่เสด็จมาในฐานะผู้ที่มอบชีวิตเพื่อมนุษยชาติ
10. การทำให้พระเจ้าได้รับเกียรติ: โยเซฟนำความรุ่งโรจน์มาสู่พระเจ้าผ่านวิถีชีวิตของเขา (ปฐมกาล 41:16) ในขณะที่พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์และเผยถึงพระเจ้า ผู้ที่พระองค์เสด็จมาเปิดเผยให้รู้จัก
เรื่องราวของโยเซฟและพระเยซูสอนให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับความรัก ความเมตตา การให้อภัย และความหวัง การศึกษาเรื่องราวของทั้งสองท่านจะช่วยให้เรามีชีวิตที่เปี่ยมสุขและมีความหมายมากยิ่งขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระเจ้า แม้ในยามที่เราไม่เข้าใจเหตุผล และการมีจิตใจที่ให้อภัยเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงทำ เมื่อเราเผชิญหน้ากับความยากลำบากในชีวิต เราสามารถมองไปที่ตัวอย่างของโยเซฟและพระเยซู เพื่อหาแรงบันดาลใจและความหวัง