เมื่อคิดถึงพระคัมภีร์อพยพ เราคิดถึงเรื่องอะไร?  พระคัมภีร์ม้วนนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย ตั้งแต่เรื่องราวของโมเสส ที่ถูกลอยไปในน้ำและได้รับการเลี้ยงดูจากธิดาของฟาห์โรห์ เรื่องที่โมเสสได้พบกับพระยาห์เวห์ที่พุ่มไม้ติดไฟ หรือเรื่องที่โมเสสได้นำชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสของอิยิปต์ มีเรื่องภัยพิบัติสิบประการ รวมถึงการประหารบุตรหัวปีและการปกป้องของพระเจ้าในบ้านที่ถูกทาด้วยเลือดของลูกแกะ ไปจนถึงเหตุการณ์ที่โมเสสพาเดินผ่านทะเลแดง การเดินในถิ่นทุรกันดาล มีน้ำออกมาจากหินและมานาตกมาจากฟ้า การทำพันธสัญญากับพระเจ้าที่ภูเขาซีนาย บัญญัติสิบประการ และแบบพิมพ์ของเต็นท์นัดพบ รวมไปถึงวิกฤติวัวทองคำ

ทำไมพระเจ้าถึงบันดาลให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น และได้ดลใจให้ผู้เขียนบันทึกเหตุการณ์ไว้แบบนี้? พระคัมภีร์ม้วนนี้เป็นเพียงประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลที่เราควรเรียนรู้ หรือมันมีอะไรที่สำคัญมากกว่านั้น ในชั้นเรียนพระคัมภีร์อพยพนี้ เราจะได้มาศึกษากัน

หลักการสำคัญในการศึกษาพระคัมภีร์ฮีบรู

ซูชิมาเกี่ยวข้องอะไรกับพระธรรมอพยพ?  ผมเป็นคนที่ชอบกินซูชิมาก วันหนึ่งผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่แนะนำวิธีการกินซูชิที่ถูกต้อง เช่นว่าเวลากินให้ใช้มือจับเอาเฉพาะด้านปลาจิ้มซีอิ๊ว แล้วเอาใส่ปากโดยให้ด้านปลาเป็นด้านที่แตะลิ้น อย่าเอาวาซาบิไปละลายในน้ำจิ้ม และขิงมีไว้กินเฉพาะระหว่างคำ และเทคนิคการกินอื่นๆ อีกมากมาย ปรากฏว่าพอลองทำตามผมกินซูชิอร่อยขึ้นอีกมากเลย คือก่อนหน้านี้ก็ได้กินซูชิ แต่พอรู้ว่ากินอย่างไรให้ถูกวิธี ซูชิที่อร่อยอยู่แล้ว กลับสามารถอร่อยขึ้นอีกได้มากมายหลายเท่า

การศึกษาพระธรรมอพยพนี้ก็เช่นกัน ก่อนที่เราจะมาศึกษาพระธรรมอพยพด้วยกัน เราควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับม้วนหนังสืออพยพนี้ และหลักการสำคัญที่เราจะใช้ในการศึกษาและตีความพระคำม้วนนี้ให้ดีก่อน แล้วการกินอาหารฝ่ายวิญญาณนี้จะอร่อยมากขึ้นได้หลายเท่า 

พอกล่าวถึงเรื่องการตีความพระคัมภีร์ มีหลักการมากมายหลายมิติ แต่สิ่งที่ผมต้องการเน้นครั้งนี้ คือการที่เราควรอ่านพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมในแบบที่พระเยซูอ่าน  เมื่อพระเยซูได้เป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ใช้เวลาสี่สิบวันอยู่กับสาวกก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับสู่ฟ้าสวรรค์  พระเยซูใช้เวลานั้นในการอธิบายให้สาวกเข้าใจว่าพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมนั้นมีความหมายอย่างไร เหตุการณ์นี้ลูกาได้บันทึกเอาไว้ในบทที่ 24

แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมด … พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราบอกไว้กับท่านทั้งหลายขณะที่เรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาถ้อยคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส ในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดเพลงสดุดีที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” แล้วพระองค์ทรงช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์

– ลูกา 24:27, 44-45 (THSV11)

แน่ทีเดียวเมื่อลูกาพูดถึงพระคัมภีร์ ลูกาไม่ได้หมายถึงพันธสัญญาใหม่ เพราะในเวลานั้น พระคัมภีร์ใหม่ยังไม่ได้ถูกเขียนขึ้น  บรรดาถ้อยคำในหมวดธรรมบัญญัติโมเสส ในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดเพลงสดุดีนี้ ตรงกับการเรียบเรียงพระคัมภีร์ฮีบรูของชาวยิว ซึ่งคือพระคัมภีร์ที่คริสเตียนเรารู้จักในชื่อพันธสัญญาเดิมนั่นเอง

ประเด็นสำคัญคือพระเยซูบอกว่า พระคัมภีร์เหล่านี้ เล็งถึงพระองค์  ดังนั้นหลักการสำคัญในการศึกษาพระคัมภีร์ฮีบรูสำหรับคริสเตียน คือเราจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่าพระคัมภีร์ที่เราศึกษาอยู่เล็งไปถึงพระเยซูอย่างไร

ผู้เผยพระวจนะเหมือนโมเสส

ในเฉลยธรรมบัญญัติ 18:15 โมเสสได้กล่าวกับลูกหลานชาวอิสราเอลว่าพระยาห์เวห์จะโปรดให้มีผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับตัวโมเสสเองเกิดขึ้นในชุมชนอิสราเอล  ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงเฝ้ารอคอยผู้เผยพระวจนะคนนี้อยู่ในยุคสมัยหลังจากโมเสส  เราจะเห็นว่าผู้เผยพระวจนะคนถัดมา มักจะทำหลายๆ สิ่งที่โมเสสได้เคยทำ ตัวอย่างเช่นโยชูวาแยกน้ำในแม่น้ำจอร์แดนก่อนนำชนชาติอิสราเอลเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา หรือเอลียาห์ได้มีชัยชนะในสงครามฝ่ายวิญญาณกับพระบาอัล ดังเช่นโมเสสได้เป็นตัวแทนพระยาห์เวห์ในการนำภัยพิบัติสิบประมาณมาถึงประเทศอียิปต์ และทั้งโมเสสและเอลียาห์ก็ได้มีประสบการณ์กับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวบนภูเขา

'“พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะโปรดให้ผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับข้าพเจ้านี้เกิดขึ้นในหมู่พวกท่านจากพี่น้องของท่าน พวกท่านจงเชื่อฟังเขา '

-- เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15 (THSV11)

อย่างไรก็ดี ในกลุ่มผู้เผยพระวจนะทุกๆคนหลังจากโมเสส กลับไม่มีใครเลยที่ได้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่คือนำชนชาติของพระเจ้าให้เชื่อฟังพระองค์ได้สำเร็จ ทุกๆ คนล้วนแล้วแต่ล้มเหลวไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง และในพระคัมภีร์หมวดผู้เผยพระวจนะหลายๆ ตอนเริ่มพูดถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า และการเสด็จมาของพระเมสิยาห์ โดยเฉพาะ มาลาคี ได้ทำนายถึงการมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะเสด็จมา และมีทูตเหมือนดังเอลียาห์ที่จะนำหน้ามาก่อน

'พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า “นี่แน่ะ เราส่งทูตของเราไปเพื่อตระเตรียมหนทางไว้ข้างหน้าเรา และองค์เจ้านายผู้ซึ่งเจ้าแสวงหานั้นจะเสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกะทันหัน ทูตแห่งพันธสัญญาผู้ซึ่งเจ้าพอใจนั้น ดูซี ท่านกำลังมาแล้ว  ... นี่แน่ะ เราจะส่งเอลียาห์ผู้เผยพระวจนะ มายังเจ้าก่อนวันแห่งพระยาห์เวห์ คือวันที่ใหญ่ยิ่งและน่าสะพรึงกลัวจะมาถึง และท่านผู้นั้นจะทำให้จิตใจของพ่อหันไปหาลูก และจิตใจของลูกหันไปหาพ่อ ไม่อย่างนั้น เราจะมาโจมตีแผ่นดินนั้นด้วยคำสาปแช่ง'

-- มาลาคี 3:1, 4:5-6 

พระคัมภีร์เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15 นี้มีความสำคัญมากสำหรับชาวยิว และสำคัญมากในการทำความเข้าใจพระคัมภีร์ทั้งในพันธสัญญาเก่าและพันธสัญญาใหม่ ชาวยิวในยุคพระเยซู (จนมาถึงในทุกวันนี้) ให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขนาดที่ว่าทุกครั้งที่เขาจัดเทศกาลปัสกาในครอบครัว เขาจะเว้นเก้าอี้ตัวหนึ่งในโต๊ะกินข้าวให้ว่างไว้ เพื่อเป็นการระลึกถึงและอธิษฐานเกี่ยวกับการมาของเอลียาห์ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า

ทุกๆครั้งที่ผู้นำชนชาติอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ ผู้เผยพระวจนะ หรือมหาปุโรหิต เมื่อพวกเขาล้มเหลวที่จะเป็นตัวแทนของพระเจ้า พระคัมภีร์ได้บันทึกชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำได้ พระยาห์เวห์จะเป็นผู้นำความรอดและความชอบธรรมมาด้วยพระองค์เอง

'ความจริงขาดหายไป และผู้พรากจากความชั่วก็ทำให้ตัวเองถูกปล้น พระยาห์เวห์ทรงเห็นก็ไม่ชื่นชอบในสายพระเนตร ที่ไม่มีความยุติธรรม พระองค์ทรงเห็นว่าไม่มีผู้ใดเลย และประหลาดพระทัยว่าไม่มีใครอ้อนวอนเผื่อ แล้วพระกรของพระองค์เองก็นำชัยชนะ มาให้พระองค์ และความชอบธรรมของพระองค์เชิดชูพระองค์ไว้ '

-- อิสยาห์ 59:15-16

พระเยซู พระเมสิยาห์ ผู้เป็นโมเสสใหม่

เมื่อเราเข้าใจบริบทในพระคัมภีร์ฮีบรูของชาวยิวเช่นนี้ เราจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าพระเยซูทรงมีชีวิตที่เหมือน (และยิ่งใหญ่กว่า) โมเสสอย่างไร และเราจะเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมผู้เขียนพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ถึงบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของพระเยซูไว้แบบนั้น พวกเขาต้องการจะสื่อว่าพระเยซูคือพระเมซิยาห์ที่พระเจ้าวางแผนไว้นั่นเอง

พระเยซูทรงมีชีวิตที่เหมือนและยิ่งใหญ่กว่าโมเสสหลายแบบและหลายมิติมาก ในบทความนี้ผมจะยกเจ็ดข้อ พอให้เป็นตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ

  1. ทั้งพระเยซูและโมเสสเกิดในยุคที่มีกษัตริย์ที่พยายามฆ่าเด็กชาวฮีบรู
  2. โมเสสได้พบพระยาห์เวห์ในพุ่มไม้ที่ติดไฟ และพระยาห์เวห์ได้บอกชื่อของพระองค์กับโมเสส ชื่อของพระองค์มีความหมายว่า "เราเป็น" ในพระธรรมยอห์น พระเยซูใช้คำว่า "เราเป็น" เจ็ดครั้งเพื่อประกาศตัวว่าพระองค์คือพระยาห์เวห์
  3. พระยาห์เวห์ใช้โมเสสเพื่อนำชนชาติที่ได้รับการเลือกสรรคืออิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ พระยาห์เวห์ใช้พระเยซูพระบุตรของพระองค์เพื่อนำชนชาติใหม่ที่ได้รับการเลือกสรรคือคริสเตียนออกจากการเป็นทาสของความบาป
  4. ในวันที่พระยาห์เวห์นำภัยพิบัติสุดท้ายคือการประหารบุตรหัวปีมาถึงอียิปต์ พระองค์ให้ทางออกแก่ผู้ที่เชื่อวางใจ โดยให้เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านที่มีเลือดของลูกแกะป้ายอยู่ที่ขอบประตู  ในทำนองเดียวกันในวันพิพากษา พระองค์จะให้ทางออกแก่ผู้ที่เชื่อวางใจ เข้าไปอาศัยอยู่ภายใต้โลหิตของพระเยซูผู้เป็นลูกแกะบริสุทธิ์ที่แท้จริงของพระยาห์เวห์
  5. โมเสสนำอิสราเอลเดินผ่านน้ำที่แหวกออกและได้รับชีวิตใหม่ เปรียบเสมือนการรับบัพติสมาเข้าส่วนในโมเสส เช่นเดียวกันผู้เชื่อในพระเยซู จะตายร่วมกับพระองค์ และได้รับการบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ เปรียบเสมือนการรับบัพติสมาเข้าส่วนในพระเยซู
  6. โมเสสได้พบพระยาห์เวห์บนภูเขาซีนาย เพื่อรับบัญญัติสิบประการและธรรมบัญญัติอื่นๆ จากพระยาห์เวห์ พระเยซูเทศนาบนภูเขา เริ่มต้นด้วยประโยค "ผู้เป็นสุข" สิบประโยค และพระองค์เปิดเผยความหมายที่แท้จริงของธรรมบัญญัติบนภูเขา
  7. โมเสสนำอิสราเอลเดินในถิ่นทุรกันดารเพื่อรับการทดสอบจากพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพระเยซูคริสต์เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร และพระองค์ผ่านการทดสอบทั้งสามข้อ

ดังนั้นการศึกษาและทำความเข้าใจพระคัมภีร์ฮีบรูของชาวยิวมีความสำคัญมาก เพราะความเข้าใจนี้จะช่วยให้เราเข้าใจตัวตนของพระเยซูคริสต์มากขึ้น และสิ่งนี้จะนำไปสู่ปัญญา ที่ช่วยให้เราเข้าใจความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 

ชั้นเรียนอพยพนี้มีเป้าหมายดังนี้ คือช่วยให้เรารู้จักพระเจ้า พระยาห์เวห์ และพระเยซูคริสต์มากขึ้น และการรู้จักสนิทสนมกับพระองค์มากขึ้น จะมีส่วนทำให้เรามีความสามารถและพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง ดังที่เปาโลกล่าวไว้ในจดหมายฝากทิโมธี อาเมน

และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้เรียนรู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถให้ปัญญาแก่ท่านในเรื่องความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถและพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง

– 2 ทิโมธี 3:15-17