และนี่คือชื่อ

และนี่คือชื่อของบุตรของอิสราเอลที่เข้าไปในอียิปต์...

 וְאֵלֶּה שְׁמוֹת

วาเอลเลห์ เชมโมท

พระคัมภีร์อพยพเริ่มต้นที่ประโยคนี้  ในภาษาฮีบรูตัวอักษรแรกคือคำว่า "วา" เป็นตัวเชื่อมประโยค มีความหมายได้หลายอย่างเช่น "และ", "แต่", "บัดนี้"  ตัวเชื่อมนี้มักจะใช้เชื่อมสองประโยคเข้าด้วยกัน นี่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์อพยพ เป็นเรื่องที่เชื่อมต่อมาจากพระคัมภีร์ปฐมกาล ดังนั้นเราควรจะ "อับโหลด" ข้อมูลปฐมกาลไว้ในหัวเมื่อเราศึกษาอพยพ เพราะเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกัน

คำว่าเชมโมทมีความหมายว่า "ชื่อ" (เป็นคำพหูพจน์)  เนื่องจากชาวยิวจะใช้คำขึ้นต้นของพระคัมภีร์มาตั้งชื่อหนังสือ ดังนั้นชาวยิวจะรู้จักพระคัมภีร์อพยพนี้ในชื่อว่า "เชมโมท"  เดี๋ยวพอเราศึกษาไปเราจะได้เห็นว่าพระคัมภีร์อพยพ ให้ความสำคัญกับ "ชื่อ" เป็นอย่างมาก ดังที่เห็นได้ในข้อแรก ที่เป็นชื่อของลูกของยาโคบ ชื่อของโมเสสและลูกของเขา และในบทที่ 3 ที่พระเจ้าไปเปิดเผย "ชื่อ" ของพระองค์เองให้เราได้รู้จัก  ดังนั้นเราควรให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับชื่อในพระคัมภีร์นี้

'ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบุตรของอิสราเอลที่เข้าไปอาศัยอยู่ในอียิปต์ (ต่างก็ตามยาโคบไปพร้อมกับครอบครัวของตน) คือ รูเบน สิเมโอน เลวี และยูดาห์ อิสสาคาร์ เศบูลุน และเบนยามิน ดานและนัฟทาลี กาดและอาเชอร์ คนทั้งสิ้นที่เป็นเชื้อสายของยาโคบรวม 70 คนด้วยกัน ส่วนโยเซฟนั้นอยู่ในอียิปต์แล้ว ต่อมาโยเซฟกับพี่ชายและน้องชาย อีกทั้งคนช่วงอายุนั้นได้ถึงแก่ความตายไปหมดแล้ว แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลมีลูกดกทวีมากขึ้นและมีกำลังมากยิ่ง พวกเขาแพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดินนั้น มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในอียิปต์ พระองค์ไม่ทรงรู้จักโยเซฟ พระองค์ตรัสกับชนชาติของพระองค์ว่า “ดูสิ คนอิสราเอลมีมากเกินไปและมีกำลังยิ่งกว่าพวกเราอีก'

อพยพ 1:1-9 (THSV11)

ในพระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่าอิสราเอลเริ่มต้นในอียิปต์ที่ 70 คน แต่เมื่อเวลาผ่านไป 430 ปี พวกเขาทวีจำนวนขึ้นมากถึงกว่าหกแสนคน (อพย 12:37-38) ถ้านับเพียงผู้ชาย ถ้านับรวมครอบครัวด้วยคาดว่าน่าจะมีเป็นล้านคน คำว่ามีลูกดกทวีมากขึ้นและแพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดิน เป็นคำเดียวกันกับพระพรที่พระเจ้าให้กับมนุษย์ในสวนเอเดน (ปฐก 1:28)  ดังนั้นการที่อิสราเอลมีจำนวนมากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดี ในสายตาของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วยกับพระเจ้า

ฟาโรห์กลับมองสิ่งที่พระเจ้าทำเป็นสิ่งที่ไม่ดี และเป็นความเสี่ยงที่จำเป็นต้องจัดการ ในฐานะของผู้ปกครองประเทศอียิปต์ เป็นเรื่องปรกติมากที่ฟาโรห์จะเป็นกังวลแบบนี้ เพราะเขาคงกลัวการสูญเสียอำนาจให้กับชนชาติอื่น เขามองสถาณการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาของเขาเอง แทนที่จะให้พระเจ้าเป็นผู้กำหนดว่าสถาณการณ์นี้ดีหรือไม่ดี และนี่คือภาพของความบาป  ความบาปไม่ใช่เพียงแค่การไม่ทำตามคำสั่งของพระเจ้า แต่เป็นการที่มนุษย์ใช้สายตาของตัวเองมาเป็นตัวกำหนดว่าอะไรดี หรืออะไรไม่ดี แทนที่จะให้พระเจ้าเป็นผู้กำหนด ผลที่ตามมาคือการกระทำที่ตรงข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้า

เมืองคลังหลวงสองเมือง

'มาเถิด ให้พวกเราหาอุบายปราบเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะทวีมากขึ้น แล้วถ้าเกิดสงครามขึ้นเมื่อไร เขาจะสมทบกับพวกข้าศึกสู้รบกับพวกเรา แล้วจะยกออกไปจากแผ่นดินนี้” เพราะฉะนั้นคนอียิปต์จึงตั้งนายทาสผู้บีบบังคับคนอิสราเอลให้ทำงานหนัก และให้สร้างเมืองคลังหลวงสำหรับฟาโรห์คือ เมืองปิธมและเมืองราเมเสส แต่ยิ่งถูกบีบบังคับ ชนชาติอิสราเอลก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแผ่ขยายออกไป ชาวอียิปต์ทั้งเกลียดทั้งกลัวชนชาติอิสราเอล จึงบังคับชนชาติอิสราเอลให้ทำงานหนัก ทำให้ชีวิตของพวกเขาขมขื่นด้วยงานยากลำบากนั้น เช่น ทำปูนสอ ทำอิฐ และทำงานทุกอย่างที่ทุ่งนา พวกเขาถูกบังคับให้ทำงานหนักทุกชนิด

อพยพ 1:10-14 (THSV11)

คำว่ามาเถิด ให้เราหาอุบายปราบเขา เป็นคำเดียวกันที่ชาวบาบิโลนพูดเมื่อพวกเขาร่วมมือกันสร้างหอบาเบล (ปฐก 11:4) พวกเขาสร้างหอให้เทียมฟ้า เพื่อสร้าง "ชื่อ" ให้กับตัวเอง และหาหนทางที่จะเป็นพระเจ้าด้วยตัวของเขาเอง เพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยกับแผนการของพระเจ้าที่ต้องการให้มนุษย์แพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดิน พวกเขาต้องการอยู่รวมกันในเมืองแทนที่จะกระจายออกไป

ในอพยพ ฟาห์โรห์ใช้แผนการสามขั้น  ขั้นที่หนึ่งคือบังคับอิสราเอลให้ทำงานหนัก ให้สร้างเมืองคลังหลวงสำหรับฟาโรห์ เมืองคลังหลวงนี้น่าจะเป็นที่เก็บสะสมทรัพย์สมบัติ ซึ่งในสมัยนั้น ทรัพย์สมบัติที่สำคัญคืออาหาร  พระคัมภีร์ตอนนี้ทำให้เรานึกถึงฟาโรห์คนก่อนหน้าสมัยยุคโยเซฟ ที่เขาก็เก็บสะสมอาหารเช่นเดียวกัน (ปฐก 41:34-36) พระคัมภีร์เขียนถึงโยเซฟและเมืองคลังหลวงตอนนี้น่าจะต้องการให้เราคิดใคร่ครวญเปรียบเทียบระหว่างฟาโรห์และเมืองคลังหลวงสมัยโมเสส และสมัยโยเซฟ

ฟาโรห์สมัยโมเสสสร้างเมืองคลังหลวงเพื่อสร้างชื่อให้ตัวของเขาเอง
ฟาโรห์สมัยโยเซฟสร้างเมืองคลังหลวงเพื่อช่วยเหลือประชาชนในยามกันดานอาหาร

ฟาโรห์สมัยโมเสสสร้างเมืองคลังหลวงเพื่อต่อต้านพระเจ้า
ฟาโรห์สมัยโยเซฟสร้างเมืองคลังหลวงเพราะพระเจ้าเป็นผู้แนะนำให้สร้าง

เมืองคลังหลวงทั้งสองยุคนี้ ถ้ามองเพียงเปลือกนอก น่าจะดูเหมือนกัน คงเป็นโรงเก็บอาหารใหญ่ๆ แต่วัตถุประสงค์ของการสร้างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงแค่ว่าสร้างไปทำไม แต่สร้างกับใคร พระเจ้าเป็นผู้ช่วยสร้าง หรือเราสร้างกันเองเพื่อสร้างชื่อให้กับตัวเอง สิ่งนี้มองเพียงภายนอกจะมองไม่เห็นจริงๆ ต้องมองลึกลงไปที่จิตใจถึงจะเห็นได้.

สุดท้ายแผนการของฟาโรห์ก็ไม่สำเร็จ แต่กลับกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้อิสราเอลแพร่ขยายและเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปอีก เมื่อแผนแรกไม่ได้ผล ฟาโรห์จะมีแผนสองซึ่งเราจะศึกษาในตอนต่อไป

ประยุกต์และนำไปใช้ในโลกปัจจุบัน

วันนี้เราใช้สิ่งใดมาเป็นตัวกำหนดว่าดีหรือไม่ดี เรากำลังใช้วัฒนธรรมของทางโลก ประเพณีต่างๆ สถาณการณ์ที่บีบบังคับ การปลูกฝังจากการถูกเลี้ยงขึ้นมาโดยพ่อแม่ของเรา โดยโรงเรียนของเรา โดย Influencer ต่างๆ หรือการกระทำของคนส่วนใหญ่ที่ใครๆ ก็ทำกัน หรือแม้กระทั่ง common sense มโนธรรมในใจ (ซึ่งหากไม่ระมัดระวัง อาจจะกลายเป็นมโนธรรมที่เข้าข้างตัวเอง) มาใช้ในการตัดสินใจ หรือเราพึ่งพาสติปัญญาจากพระเจ้าอย่างแท้จริงในทุกๆ เรื่องในการดำเนินชีวิต

'จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า แล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น อย่าคิดว่าตนมีปัญญา จงยำเกรงพระยาห์เวห์ และจงหันจากความชั่วร้าย นี่จะเป็นพลานามัยแก่เนื้อหนังของเจ้า และความสดชื่นแก่ร่างกายของเจ้า '
สุภาษิต 3:5-8 (THSV11)

เนื่องจากจิตใจของมนุษย์นั้นเป็นตัวล่อลวงที่สุด (ยรม 17:9-10) เราจะสามารถสังเกตจิตใจของเราได้ง่ายกว่าเมื่อเราสังเกตการกระทำของเรา วันนี้เรากำลังสร้างอะไรอยู่ เรากำลังสร้างสิ่งนั้นเพื่อสร้างชื่อให้ตัวเอง หรือกำลังสร้างชื่อให้พระเจ้า เรากำลังสร้างเมืองคลังหลวงเหมือนฟาโรห์ในยุคโมเสส หรือเหมือนฟาโรห์ในยุคโยเซฟ ขอพี่น้องได้มีโอกาสสำรวจจิตใจตัวเองในการอธิษฐาน และเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้าในอาทิตย์นี้ ขอพระเจ้าเป็นผู้สำแดง ว่าสิ่งใดเป็นที่พอใจ สิ่งที่เป็นสิ่งที่พระองค์กำลังเรียกร้องให้เราเปลี่ยนแปลง 

'ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงเฝ้ารักษานคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า '
สดุดี 127:1 (THSV11)

แต่ถ้าวันนี้คุณเป็นเหมือนคนอิสราเอล ที่กำลังรับความลำบาก เนื่องจากความบาปของคนอื่นกำลังส่งผลร้ายแก่คุณ ขอให้คุณอดทน รอคอยการช่วยกู้จากพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง พระเจ้าไม่ได้รีบร้อนที่จะช่วยกู้อิสราเอลออกมาจากอียิปต์ พระองค์ใช้เวลาถึง 430 ปี สิ่งนี้อาจจะเป็นเพราะพระเจ้าไม่ได้ต้องการเพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเรา แต่พระองค์ให้ความสำคัญมากกว่ากับการสร้างบุคลิกของเราที่จะรู้จักการพึ่งพาพระเจ้า อดทน และรอคอย เพื่อที่พระเจ้าจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าปัญหาเฉพาะหน้าของเราให้สำเร็จ นั่นคือการนำเรามาสู่ความรอดฝ่ายวิญญาณ และจะเป็นพระฉายของพระองค์ได้อย่างดีจริงๆ ถ้าใครกำลังอดทนกับความยากลำบาก ขอให้รู้ไว้เถิด ว่าพระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของคุณ และพระเจ้าจะอยู่กับคุณ เสริมกำลังคุณในทุกๆที่ ทุกๆ สถาณการณ์  ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆ คนครับ อาเมน