เรื่องย่อ
เมื่อความหนักใจจากบาปและความผิดพลาดเข้ามา ดาวิดในสดุดีบทที่ 32 เปิดเผยถึงความสำคัญของการสารภาพบาปและการได้รับการอภัยจากพระเจ้า เขาแสดงให้เห็นว่าความสุขที่แท้จริงเกิดจากการมีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์กับพระเจ้าหลังจากได้กลับใจ ในสดุดี 51 ดาวิดขอความเมตตาจากพระเจ้าอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์กับบาธเชบา โดยเขาแสดงถึงความท้อแท้และรู้สึกผิด แต่ก็แสดงความฟื้นฟูที่ต้องการจากการให้อภัยและการฟื้นฟูจิตใจให้บริสุทธิ์ สดุดี 86 สะท้อนถึงการขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกอ่อนแอ และการยอมรับในพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตาและความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายในสดุดี 122 ดาวิดแสดงความยินดีที่ได้ขึ้นไปยังเยรูซาเล็มเพื่อทำการนมัสการพระเจ้า ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความเชื่อเดียวกัน โดยรวมแล้ว บทเพลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการเดินทางทางจิตวิญญาณของดาวิด แต่ยังย้ำเตือนถึงความสำคัญของการสารภาพ การกลับใจ และการสรรเสริญพระเจ้าในทุกสถานการณ์ของชีวิต
ในสดุดี 32 ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าสำหรับการอภัยและความเมตตาของพระองค์ โดยเฉพาะการที่พระองค์อวยพรและปกป้องลูกๆ ของพระองค์ แม้เมื่อพวกเขาทำบาป พระเจ้าไม่ได้อวยพรบาป แต่กลับช่วยเหลือให้เรารับรู้และสำนึกผิด เมื่อเราพยายามปกปิดบาปด้วยตัวเอง มักหมายถึงการซ่อนมันไว้ แต่เมื่อพระเจ้าจัดการกับบาป พระองค์ทรงชดใช้และชำระให้สะอาด ในตอนแรกของสดุดี ดาวิดพยายามปกปิด แต่ในที่สุดเขาก็เปิดเผยซึ่งทำให้พระเจ้าช่วยให้สำนึกผิด การจัดการกับบาปโดยพระเจ้าคือสิ่งที่พระบุตรของพระเจ้าได้ทำเพื่อเราบนไม้กางเขน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ดำรงอยู่ภายในผู้เชื่อ คอยชี้แนะและกระตุ้นให้เราออกจากความบาปและสู่การสารภาพที่แท้จริง
เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทำให้เกิดการสำนึกผิด ผู้เชื่อจะรู้สึกไม่สบายใจจนกว่าจะมีการกลับใจ ดาวิดเผชิญกับการตักเตือนของพระวิญญาณ นำไปสู่การสารภาพบาปต่อพระเจ้า เขาอธิบายว่าการเก็บงำบาปทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและเหนื่อยล้า แต่เมื่อเขาสารภาพความผิด พระเจ้าทรงยกโทษให้ การทำเช่นนี้ทำให้ดาวิดเชิญชวนผู้อื่นให้สารภาพและกลับใจต่อพระเจ้าด้วยเช่นกัน ดาวิดใช้คำต่างๆ เพื่อเน้นการกระทำผิดอย่างทั่วถึง เพื่อสะท้อนถึงความซื่อสัตย์และเปิดเผยความต้องการในความเมตตาของพระเจ้า
ในสดุดี 51 ดาวิดแสดงออกถึงการสำนึกผิดอย่างลึกซึ้ง โดยยอมรับบาปทั้งหมดต่อพระเจ้า เขาเข้าใจว่าบาปของเขาส่งผลกระทบทั้งต่อพระเจ้าและคนรอบข้าง และมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างจริงจัง ดาวิดยอมรับว่าเขาเป็นคนบาปตั้งแต่เกิดและไม่พยายามปัดความรับผิดชอบ เขาขอให้พระเจ้าสร้างใจใหม่ให้กับเขา เพื่อปรับเปลี่ยนเส้นทางชีวิตในแนวทางที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า ดาวิดยังอธิษฐานขอความรู้และความเข้าใจในความจริงจากพระเจ้า เพื่อทำให้ใจของเขามีความบริสุทธิ์และไม่แตกแยก โดยทุกรายละเอียดในบทสดุดีเหล่านี้ เป็นคำอธิษฐานและความตั้งใจที่ลึกซึ้งในการค้นหาความสัมพันธ์ที่ถ่องแท้กับพระเจ้าและชุมชนที่เขาดำรงชีวิตอยู่
ข้อคิด: สดุดี 32; 51; 86; 122
“เราจะสอนและชี้แนะทางที่เจ้าควรเดินไปเราจะให้คำปรึกษาและเฝ้าดูเจ้า อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อ
ที่ปราศจากความเข้าใจ ซึ่งจะต้องใช้สายรั้งบังเหียนบังคับควบคุมมิฉะนั้นจะไม่ยอมมาด้วย” (สดุดี 32:8-9) พระเจ้าต้องการให้เราอยู่ใกล้! และพระองค์บอกเราว่านั่นเป็นอย่างไร: (ก) พระองค์ทรงเสนอคำแนะนำแก่ลูกๆ ของพระองค์และไม่ปล่อยให้เราคิดหาทางออกเอง พระองค์ทรงสั่งสอนเรา สอนเรา ให้คำปรึกษาเรา และเฝ้าดูเรา และ (ข) พระองค์ทรงบอกเราว่าอย่าโง่เขลาและดื้อรั้นในการตอบสนองต่อพระองค์ และให้ใส่ใจและยอมจำนนต่อการนำทางของพระองค์ ซึ่งก็คือความเชื่อมั่นของพระวิญญาณของพระองค์ ยิ่งเราปล่อยวางสิ่งที่เราพยายามควบคุมมากเท่าไร เราก็จะรู้สึกและปฏิบัติตามการกระตุ้นเตือนของพระองค์ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ซึ่งทำให้เราอยู่ใกล้พระองค์ สรรเสริญพระเจ้า! พระองค์คือที่ที่ความปีติยินดีอยู่!
คำถาม
1. การสารภาพบาปและการขอพระคุณเพื่อการฟื้นฟูจิตใจ: จาก สดุดี 32, 51, และ 86 ซึ่งเน้นถึงความสำคัญของการสารภาพบาปและการขอพระคุณในการฟื้นฟูจิตใจ คำถามคือ เราจะนำหลักการนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไรเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ และรักษาความสัมพันธ์กับพระเจ้าในช่วงเวลาที่เผชิญกับความผิดพลาดและความท้าทาย?
2. การแสวงหาความสงบและความสุขในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและผู้อื่น: สดุดี 122 เน้นความสุขและความสงบที่มาจากการได้มารวมกันในพระนามพระเจ้า คำถามคือ เราจะสร้างบรรยากาศแห่งความสงบสุขและความสุขในคริสตจักร ครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนในยุคปัจจุบันอย่างไร พร้อมทั้งรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน?
สดุดีบทที่ 32 เป็นบทเพลงที่สวยงามและให้ข้อคิดดีๆ มากมายเกี่ยวกับการให้อภัย ความสุข และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ลองมาดูหลักการสอนใจที่ได้จากสดุดีบทนี้กันนะครับ:
1. ความสุขของการได้รับการอภัยโทษ: ข้อ 1-2 เน้นย้ำถึงความสุขอย่างแท้จริงที่มาจากการได้รับการยกโทษบาปและการลบล้างความผิดบาป การไม่ถูกกล่าวโทษเป็นบ่อเกิดของความสุขที่ลึกซึ้ง
2. ความเจ็บปวดของการปิดบังบาป: ข้อ 3-4 บรรยายถึงความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นเมื่อปิดบังบาปไว้ การไม่ยอมรับผิดนำมาซึ่งความอ่อนล้าและความแห้งเหี่ยว
3. การสารภาพบาปนำมาซึ่งการให้อภัย: ข้อ 5 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการยอมรับและสารภาพบาปต่อพระเจ้า เมื่อเราเปิดใจและไม่ปิดบัง พระเจ้าก็ทรงพร้อมที่จะให้อภัย
4. พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยในยามยากลำบาก: ข้อ 6-7 บอกให้เราวางใจในพระเจ้า ผู้ทรงเป็นที่กำบังและปกป้องเราจากความทุกข์ยาก พระองค์ทรงโอบล้อมเราด้วยความรอด
5. การทรงนำและคำแนะนำจากพระเจ้า: ข้อ 8 พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงนำและสั่งสอนเราในทางที่เราควรเดิน พระองค์จะทรงให้คำแนะนำด้วยสายพระเนตรของพระองค์
6. ความแตกต่างระหว่างคนดื้อดึงกับผู้ที่เชื่อฟัง: ข้อ 9 เปรียบเทียบคนที่ไม่ยอมเชื่อฟังเหมือนลาหรือล่อที่ต้องบังคับด้วยบังเหียนกับผู้ที่เต็มใจเชื่อฟังและรับการทรงนำจากพระเจ้า
7. พระเมตตาโอบล้อมผู้ที่วางใจในพระเจ้า: ข้อ 10 ยืนยันว่าพระเมตตาและความรักมั่นคงของพระเจ้าจะอยู่กับผู้ที่วางใจในพระองค์
8. ความชื่นชมยินดีในพระเจ้า: ข้อ 11 เชิญชวนให้ผู้ชอบธรรมชื่นชมยินดีและเปรมปรีดิ์ในพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นแหล่งแห่งความสุขและความรอด
สดุดีบทที่ 32 สอนให้เราเห็นถึงความสำคัญของการสารภาพบาปเพื่อรับการอภัยโทษ และการวางใจในพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยและทรงนำทางเราไปสู่ความสุขที่แท้จริงครับ