เรื่องย่อ
เมื่อกรุงเยรูซาเลมถูกเซนนาเคริบแห่งอัสซีเรียคุกคาม เหตุการณ์ใน 2 พงศ์กษัตริย์ 19 สะท้อนถึงความไว้วางใจอย่างแน่วแน่ของกษัตริย์เฮเซคียาห์ในพระเจ้า ผ่านการอธิษฐานและการแทรกแซงของอิสยาห์ พระเจ้าทรงตอบโต้ด้วยการส่งทูตสวรรค์มาสังหารกองทัพอัสซีเรียอย่างน่าอัศจรรย์ สดุดี 46 สะท้อนถึงความมั่นใจนี้ โดยประกาศว่าพระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยอันมั่นคง ท่ามกลางความวุ่นวาย สดุดี 80 ร้องทูลขอการฟื้นฟูสำหรับอิสราเอล โดยเปรียบเทียบพวกเขาว่าเป็นเถาองุ่นที่พระเจ้าทรงปลูกไว้ แต่ในขณะนี้กำลังทนทุกข์ทรมาน สดุดี 135 ชื่นชมพระเจ้าในเรื่องความยิ่งใหญ่และความจงรักภักดีของพระองค์ โดยเน้นถึงอำนาจของพระองค์เหนือบรรดาพระเท็จ และทรงเรียกประชากรของพระองค์ให้สรรเสริญพระนามของพระองค์ ซึ่งถักทอเรื่องราวแห่งการช่วยกู้ ความไว้วางใจ ความเศร้าโศก และการสรรเสริญให้เป็นความเข้าใจถึงการปกป้องของพระเจ้าและการทรงอำนาจสูงสุดของพระองค์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เรื่องราวของเฮเซคียาห์แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองด้วยความถ่อมใจต่อความยากลำบากในช่วงแรก แต่ความสำเร็จและพรที่ได้รับภายหลังกลับทำให้ใจของเขาหันเหไปจากพระเจ้า กลายเป็นคนหยิ่งผยองและประมาทเลินเล่อ ซึ่งเป็นบทเรียนเตือนใจว่าการเติบโตฝ่ายวิญญาณต้องมาพร้อมกับการถ่อมใจและความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง การที่พระเจ้าทรงควบคุมวิญญาณชั่วร้ายและใช้ความชั่วเพื่อพระประสงค์ของพระองค์เองเป็นเครื่องยืนยันถึงอำนาจอธิปไตยของพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงตรัสเท็จเอง แต่พระองค์ทรงอนุญาตให้เซนนาเคริบถูกทำให้เข้าใจผิด ซึ่งเป็นการตอบสนองที่ยุติธรรมต่อการเยาะเย้ยพระเจ้าอย่างเปิดเผยของเขาและผู้นำของเขา
การปลดปล่อยเยรูซาเล็มจากการโจมตีของอัสซีเรียเป็นชัยชนะที่น่าอัศจรรย์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อทูตสวรรค์ของพระเจ้าสังหารทหารอัสซีเรียจำนวนมากในชั่วข้ามคืน เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงการปกป้องของพระเจ้าที่มีต่อผู้ที่วางใจในพระองค์ สดุดี 46:5 ย้ำว่า "พระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางนาง นางจะไม่หวั่นไหว พระเจ้าจะทรงช่วยนางเมื่อรุ่งอรุณ" ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในขณะที่เยรูซาเล็มนอนหลับและตื่นขึ้นมาพบกับชัยชนะของพระเจ้า สดุดี 80 สะท้อนถึงเสียงร้องของอิสราเอลที่ขอให้พระเจ้าทรงช่วยกู้และฟื้นฟูพวกเขา โดยตระหนักถึงอัตลักษณ์ที่พระเจ้าทรงประทานให้พวกเขาตั้งแต่แรก
โดยรวมแล้ว เรื่องราวเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการถ่อมใจ การเชื่อฟัง และการไว้วางใจในพระเจ้า แม้ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากและการทดลอง การที่พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งและรักษาสัญญาของพระองค์เป็นแหล่งแห่งความหวังและการปลอบประโลมใจสำหรับผู้ที่หันมาหาพระองค์ด้วยความจริงใจ และเตือนให้ระลึกว่าการละทิ้งพระเจ้าจะนำไปสู่การพิพากษาและการทำลายล้างในที่สุด
ข้อคิด: 2 พงศ์กษัตริย์ 19; สดุดี 46; 80; 135
สดุดี 135 สรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุด โดยเน้นย้ำถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการเลือกอิสราเอล การสร้างปรากฏการณ์ธรรมชาติ การพิพากษาอียิปต์และประชาชาติอื่นๆ การมอบแผ่นดินให้แก่อิสราเอล และพระสัญญาที่จะแก้แค้นและสงสารผู้รับใช้ของพระองค์ การกระทำเหล่านี้เผยให้เห็นถึงความปรารถนาของพระเจ้าที่จะอวยพร ฟื้นฟู และไถ่ประชากรของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความเต็มพระทัยและด้วยความยินดี เพราะ "พระองค์ทรงทำทุกสิ่งที่พระองค์พอพระทัย" ซึ่งรวมถึงการต้อนรับคนบาปเข้ามาในครอบครัวของพระองค์และเรียกพวกเขาว่าบุตรชายและบุตรหญิง สะท้อนให้เห็นถึงพระทัยอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการไถ่และพระลักษณะที่เต็มไปด้วยความยินดีของพระองค์
คำถาม
1. ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความกลัว (เช่นเดียวกับในช่วงที่เยรูซาเล็มถูกล้อมใน 2 พงศ์กษัตริย์ 19), ครอบครัวจะสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจในพระเจ้าได้อย่างไร เพื่อให้พวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับความยากลำบากด้วยความสงบและมั่นใจในพระองค์ได้ (เช่นเดียวกับที่สดุดี 46 หนุนใจ)?
2. ในบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว (เมื่อพิจารณาถึงความซ้ำซากของการไม่ซื่อสัตย์และการหันเหจากพระเจ้าในประวัติศาสตร์อิสราเอล), เราจะประกาศความเชื่อและความเชื่อมั่นในพระเจ้า (เช่นเดียวกับที่สดุดี 80 และ 135 เน้นย้ำถึงพระสัญญาและพระราชกิจของพระเจ้า) ให้แก่คนไม่เป็นคริสเตียนได้อย่างไร?
สดุดี 46 เป็นบทเพลงสรรเสริญที่มอบ กำลังใจ และยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในฐานะ ที่ลี้ภัยและกำลัง ของเราเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม นี่คือข้อคิดสำคัญที่เราสามารถได้รับจากบทเพลงนี้:
1. พระเจ้าเป็นที่พึ่งพาและความช่วยเหลือยามยากลำบาก
บทเพลงนี้เริ่มต้นด้วยการย้ำเตือนว่าไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยาก ความหวาดกลัว หรือความไม่แน่นอนในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ ความขัดแย้ง หรือวิกฤตส่วนตัว เราสามารถ วางใจ ได้ว่ามีแหล่งพึ่งพาที่มั่นคงและพร้อมที่จะช่วยเหลืออยู่เสมอ นี่คือความช่วยเหลือที่อยู่ใกล้ ไม่ใช่ผู้ช่วยที่อยู่ห่างไกล
2. ไม่ต้องกลัวแม้โลกจะเปลี่ยนแปลง
แม้สถานการณ์ภายนอกจะดูสับสนวุ่นวาย แผ่นดินจะพลิกคว่ำ หรือภูเขาจะโคลงเคลง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความโกลาหลและความไม่มั่นคงในโลก ผู้ที่เชื่อก็ไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในความกลัว เพราะความมั่นคงของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเห็นหรือควบคุมได้ แต่ขึ้นอยู่กับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
3. มีสันติสุขท่ามกลางความวุ่นวาย
ในขณะที่ภายนอกเต็มไปด้วยความสับสนและไม่สงบ แต่ภายในจิตใจของเรายังสามารถพบ สันติสุขและความชื่นบาน ได้เสมอ เปรียบเสมือนมีธารน้ำที่ไหลหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน แม้โลกภายนอกจะโกลาหล แต่สันติสุขนี้ยังคงอยู่และให้ความสงบแก่จิตใจ
4. พลังที่อยู่เคียงข้างและจะเข้าช่วยเหลือ
มีพลังงานที่ยิ่งใหญ่และมองไม่เห็นอยู่กับเราเสมอ พลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นผู้คุ้มครอง แต่ยังเป็นผู้ที่จะเข้ามาช่วยเหลือในเวลาที่เหมาะสมที่สุด นั่นหมายถึงการปลดปล่อยและความหวังจะมาถึงในสถานการณ์ที่ดูเหมือนมืดมิดที่สุด
5. "จงนิ่งเสีย และรู้เถอะ"
นี่คือข้อคิดที่ทรงพลังที่สุดข้อหนึ่ง ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวน ความวุ่นวาย และความกังวล บทเพลงนี้เชื้อเชิญให้เรา สงบจิตใจ (Be still) การนิ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการไม่ทำอะไรเลย แต่เป็นการหยุดพักจากความพยายามในการควบคุมทุกสิ่งด้วยตนเอง และ ตระหนักรู้ ถึงอำนาจสูงสุดที่อยู่เหนือทุกสิ่ง การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราพบความสงบที่แท้จริง
6. อำนาจสูงสุดอยู่กับเรา
บทเพลงนี้เน้นย้ำถึงอำนาจและฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่ พลังนี้คือจอมทัพสูงสุด ผู้ควบคุมทุกสิ่งในสากลโลก และมีความซื่อสัตย์ที่จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ การระลึกถึงสิ่งนี้ให้ความมั่นใจว่าพลังนั้นทรงฤทธิ์และจะอยู่กับเราเสมอ
สดุดี 46 สอนให้เรา วางใจ ในพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเองอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต บทบาทของเราคือการ สงบจิตใจ ตระหนักถึงอำนาจสูงสุดของสิ่งนั้น และอนุญาตให้พลังนั้นนำทางชีวิตของเราไปสู่สันติสุขที่แท้จริง