เรื่องย่อ
เยเรมีย์ยังคงประกาศถึงการพิพากษาที่กำลังจะมาถึงยูดาห์อย่างไม่หยุดหย่อน โดยเตือนว่าภัยพิบัติจากทางเหนือจะมาถึงเนื่องจากบาปที่หยั่งรากลึกของพวกเขา เขาใช้ภาพที่สดใสและน่าสะพรึงกลัวเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการทำลายล้างที่จะเกิดขึ้น เน้นย้ำว่าความชั่วร้ายได้แทรกซึมเข้าไปในทุกส่วนของสังคม รวมถึงผู้เผยพระวจนะและปุโรหิตที่ไม่ซื่อสัตย์ เยเรมีย์วิงวอนให้ผู้คนกลับใจและแก้ไขวิถีทางของตนก่อนที่จะสายเกินไป แต่พวกเขายังคงดื้อรั้นและปฏิเสธที่จะฟัง คำพยากรณ์เหล่านี้เน้นย้ำถึงความยุติธรรมของพระเจ้าในการลงโทษบาป และความเศร้าใจของพระองค์ที่ต้องพิพากษาประชากรที่พระองค์ทรงรัก
ตลอดการประกาศของเยเรมีย์ พระองค์ทรงวิงวอนให้ชาวยูดาห์และอิสราเอลกลับใจอย่างแท้จริง เพราะพระเจ้าไม่ได้ต้องการเพียงแค่การกระทำภายนอก แต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงจากภายในใจ พวกเขาเคยแสดงความกลับใจมาแล้ว แต่เป็นเพียงแค่ผิวเผิน พระเจ้าจึงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ เข้าสุหนัตใจ เพื่อชำระความชั่วร้ายและบาปที่ฝังลึกอยู่ภายใน ซึ่งเปรียบเสมือนการกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากหัวใจ เพื่อที่ความหายนะจะมาถึงเพราะบาปที่มาจากใจของพวกเขาเอง
ในขณะที่เยเรมีย์ประกาศความจริงจากพระเจ้า เขากลับสับสนกับคำทำนายของผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ที่ประกาศว่าจะมีแต่สันติสุขในแผ่นดิน แม้ว่าสถานการณ์กำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นพูดเพียงสิ่งที่ผู้คนต้องการได้ยิน ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าจริง ๆ ความจริงที่โหดร้ายทำให้เขามีภาพนิมิตถึงความพินาศของกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานใจจนแทบจะนอนไม่หลับ พระเจ้าทรงตำหนิผู้คนว่าเป็นคนโง่ มีสติปัญญาเพียงแค่ในการกระทำบาปเท่านั้น
ในบทที่ 5 และ 6 เยเรมีย์เผยให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์ของผู้คนในกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขายังคงปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาและสาบานในพระนามของพระเจ้า แต่กลับไม่รักษาคำพูด การทำเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าศาสนาอาจเป็นเพียงแค่เปลือกนอกที่มาจากใจที่ทุจริต เยเรมีย์ตระหนักว่าปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนจนที่อาจไม่รู้เรื่องดีชั่ว แต่รวมถึงคนรวยที่หลงในความเห็นแก่ตัวและกดขี่คนยากไร้ด้วย พระเจ้าจึงเตือนว่าการทำลายล้างจะมาถึงทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา ทั้งทรัพย์สิน อาหาร และความรู้สึกปลอดภัย เพราะ บาปเป็นขโมย ที่กีดกันสิ่งดีๆ ทั้งจากพวกเขาเองและจากคนยากจน เยเรมีย์จึงยังคงวิงวอนให้พวกเขาหวนกลับไปสู่ทางแห่งความชอบธรรมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะฟัง
ข้อคิด: เยเรมีย์ 4-6
พระเจ้าทรงเลือกเยเรมีย์ให้เป็นกระบอกเสียงแห่งความเมตตา โดยวิงวอนผู้คนให้กลับใจ แม้ว่าพระองค์จะทรงทราบดีอยู่แล้วว่าพวกเขาจะไม่เชื่อฟังก็ตาม การกระทำของพระองค์ที่ส่งผู้เผยพระวจนะซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดหลายทศวรรษ สะท้อนถึง ความอดทนและความเพียรพยายาม ที่ไม่สิ้นสุดของพระองค์ ความรักนี้ไม่ใช่เพียงแค่การตักเตือนเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นด้วย พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าถึงการถูกเนรเทศของพวกเขาในอนาคต แต่ก็ทรงทราบเช่นกันว่าวันหนึ่ง พระเยซู จะทรงทำลายบาปทั้งหมดของประชากรของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต แม้ว่าเยเรมีย์และผู้เผยพระวจนะคนอื่น ๆ จะต้องทนทุกข์อย่างหนักเพื่อส่งมอบพระวจนะนี้ แต่ความทุกข์ทรมานของพวกเขาก็เทียบไม่ได้เลยกับความทุกข์ของพระเจ้าพระบิดาและพระบุตร ซึ่งทรงสละพระองค์เองเพื่อไถ่เราจากบาปและนำเรากลับไปสู่ความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์กับพระองค์ ซึ่งเป็นที่มาของความชื่นชมยินดีที่แท้จริง
คำถาม
1. เยเรมีย์อธิบายถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้นว่าเป็นผลมาจากความบาปของประชาชน โดยเน้นว่าการเตือนภัยที่สำคัญเพียงใดคือการตรวจสอบหัวใจและการกระทำของตนเองอย่างแท้จริง ในสังคมที่มักจะโทษปัจจัยภายนอกสำหรับปัญหา เราจะปลูกฝังวัฒนธรรมที่ความรับผิดชอบส่วนตัวและความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อการปรับปรุงศีลธรรมได้อย่างไร?
2. เยเรมีย์คร่ำครวญถึงการขาดความจริงและความยุติธรรมในสังคมของเขา โดยผู้เผยพระวจนะเท็จสัญญาว่าจะสงบสุขในขณะที่การทำลายล้างกำลังจะมาถึง ในโลกปัจจุบันที่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันมากมาย เราจะแยกแยะความจริงได้อย่างไร และเราจะสนับสนุนการแสวงหาความยุติธรรมและความถูกต้องในทุกด้านของชีวิตได้อย่างไร?
"การเข้าสุหนัตใจ" (Circumcision of the heart) ในเยเรมีย์ 4:4 เป็นคำเปรียบเทียบที่มีความหมาย ซึ่งกระตุ้นให้ผู้คนกลับใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การทำตามพิธีกรรมภายนอก
คำว่า "การเข้าสุหนัตใจ" ในเยเรมีย์ 4:4 มาจากคำภาษาฮีบรูว่า "มูลาห์" (מוּלָה) และ "เลบ" (לֵב) ซึ่งมีความหมายดังนี้:
- มูลาห์ (מוּלָה): หมายถึง "การเข้าสุหนัต" ซึ่งเป็นพิธีทางกายภาพที่แสดงถึงการเป็นประชากรของพระเจ้า
- เลบ (לֵב): หมายถึง "หัวใจ" ซึ่งในบริบทของพระคัมภีร์ไม่ได้หมายถึงเพียงอวัยวะ แต่รวมถึงศูนย์รวมของอารมณ์ ความคิด สติปัญญา และเจตจำนงของบุคคลด้วย
ดังนั้น คำว่า "เข้าสุหนัตใจ" (מוּלָה לֵב) จึงหมายถึง การกำจัดความบาปและความดื้อรั้นออกจากหัวใจ เพื่อให้หัวใจสะอาดและพร้อมที่จะเชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง
ในพันธสัญญาเดิม การเข้าสุหนัตเป็นพิธีกรรมทางกายภาพที่แสดงถึงความเป็นประชากรของพระเจ้าภายใต้พันธสัญญาของอับราฮัม แต่เมื่อเวลาผ่านไป พิธีกรรมนี้กลับกลายเป็นเพียงเปลือกนอกที่ผู้คนทำตามโดยไม่มีใจที่บริสุทธิ์ เยเรมีย์จึงใช้คำนี้เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ภายในจิตใจ ซึ่งต้องเกิดขึ้นก่อนการกระทำภายนอกใด ๆ
แนวคิดเรื่อง "การเข้าสุหนัตใจ" ยังคงมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราในปัจจุบันอย่างมาก:
1. การกลับใจอย่างแท้จริง: การเป็นคริสเตียนไม่ได้จำกัดอยู่แค่การไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ การอธิษฐาน หรือการอ่านพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในอย่างแท้จริง เราต้องยอมจำนนต่อพระเจ้า ยอมให้พระองค์เข้ามาเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความคิด และความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของเรา
2. ความสำคัญของแรงจูงใจ: การกระทำที่ดีของเราจะไร้ความหมาย หากแรงจูงใจที่แท้จริงยังคงมาจากความเห็นแก่ตัวหรือความต้องการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น การเข้าสุหนัตใจเตือนเราให้ตรวจสอบแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของเรา และแสวงหาที่จะรักและเชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจที่บริสุทธิ์
3. การเติบโตฝ่ายวิญญาณ: การเติบโตฝ่ายวิญญาณของเราไม่ได้วัดจากการทำตามกฎเกณฑ์ทางศาสนา แต่มาจากการที่เราเปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทำงานในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำจัดความบาปและนำเราให้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น
ดังนั้น "การเข้าสุหนัตใจ" คือการที่เรามอบหัวใจที่แข็งกระด้างและเต็มไปด้วยความบาปให้กับพระเจ้า เพื่อให้พระองค์ทรงทำลายกำแพงที่กั้นเราออกจากพระองค์ และนำเรากลับไปสู่ความสัมพันธ์ที่แท้จริงและบริสุทธิ์อีกครั้ง