เรื่องย่อ
ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกคร่ำครวญถึงความอยุติธรรมและความชั่วร้ายที่แพร่หลายในยูดาห์ โดยถามพระเจ้าว่าทำไมพระองค์ถึงทรงยอมให้สิ่งนี้ดำเนินต่อไป พระเจ้าทรงตอบว่าพระองค์จะทรงใช้ชาวบาบิโลนเพื่อลงโทษยูดาห์ แต่ฮาบากุกก็ยังกังวลว่าพระเจ้าจะทรงใช้ชาติที่ชั่วร้ายยิ่งกว่ามาลงโทษยูดาห์ได้อย่างไร พระเจ้าทรงตอบว่าชาวบาบิโลนจะถูกลงโทษในภายหลังเนื่องจากความหยิ่งผยองและความชั่วร้ายของพวกเขา ฮาบากุกจึงแสดงความเชื่อมั่นในพระเจ้าและอธิษฐานขอความเมตตาในระหว่างการพิพากษา เขายังได้กล่าวถึงการเสด็จมาของพระเจ้าด้วยฤทธานุภาพเพื่อพิพากษาโลก และจบลงด้วยการประกาศความวางใจและความชื่นชมยินดีในพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรอดของเขา แม้ในยามยากลำบาก
ฮาบากุก ผู้เผยพระวจนะในยูดาห์ใต้ในช่วงก่อนการถูกเนรเทศไปยังบาบิโลน เป็นบุคคลสำคัญที่สื่อสารกับพระเจ้าในนามของประชากรของพระองค์ ฮาบากุกมีความสนใจในความยุติธรรมอย่างมาก เขาได้นำความกังวลเกี่ยวกับความอยุติธรรมมาทูลต่อพระเจ้า พระเจ้าเองก็ทรงสนพระทัยในความยุติธรรมเช่นกัน แม้ว่าทั้งสองจะเห็นพ้องกันในเรื่องเป้าหมาย แต่ความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีบรรลุเป้าหมายนั้นต่างกัน ฮาบากุกมีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงเพิกเฉยต่อคำอธิษฐานของเขาเนื่องจากพระเจ้ามิได้ทรงดำเนินการตามความประสงค์ของเขา เขาได้ตั้งคำถามถึงการเฉยเมยของพระเจ้าต่อความชั่วร้ายที่เขาสังเกตเห็น โดยมิได้ตระหนักว่าการปฏิเสธของพระเจ้าก็เป็นคำตอบในตัวมันเอง พระเจ้าทรงสดับฟัง แต่ทรงมีพระดำริที่จะทรงใช้ชาติที่ชั่วร้ายเพื่อบรรลุพระประสงค์อันชอบธรรมของพระองค์
ในบทสนทนาระหว่างฮาบากุกและพระเจ้า มีข้อความหนึ่งที่มักถูกนำไปใช้โดยมิได้พิจารณาบริบทที่เหมาะสม ซึ่งคือ “จงมองดูบรรดาประชาชาติ และจงพิจารณา ดูแล้วประหลาดใจและงงงวย เพราะเรากำลังทำกิจการหนึ่งในสมัยของเจ้า ซึ่งเจ้าจะไม่เชื่อเมื่อมีคนบอก” (1:5) ผู้คนตีความข้อความนี้ผิดๆ ว่าเป็นสัญญาณของสิ่งอัศจรรย์ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่บริบทของข้อความนี้บ่งชี้ว่า พระเจ้าทรงกำลังยกชูชาวบาบิโลนขึ้นเพื่อทำลายล้างพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อสำหรับผู้คนในสมัยนั้น ฮาบากุกตอบสนองต่อการเปิดเผยของพระเจ้าด้วยการรับทราบว่า พระเจ้าทรงมีอำนาจอธิปไตย แต่ก็ยังคงตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในการใช้ชาติที่ชั่วร้ายอย่างบาบิโลนเพื่อลงโทษยูดาห์
เมื่อฮาบากุกยังคงอยู่ในกระบวนการแสวงหาความเข้าใจ พระเจ้าทรงประทานนิมิตแก่เขาและทรงสั่งให้บันทึกไว้ เพราะจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่านิมิตนั้นจะสำเร็จ พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะเสริมสร้างความเชื่อของผู้คนในช่วงเวลาแห่งความมืดมิด ทรงเตือนพวกเขาให้พึ่งพาพระองค์และรำลึกถึงพระสัญญาของพระองค์ โดยตรัสว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อของเขา” (2:4) จากนั้นพระเจ้าทรงประกาศถึงความวิบัติ 5 ประการที่จะเกิดแก่บาบิโลน ทรงเตือนพวกเขาไม่ให้ฝากความหวังไว้กับสิ่งทางโลกเช่น ความมั่งคั่ง ความมั่นคง อำนาจ ความสุข และการควบคุม เพราะการแสวงหาสิ่งเหล่านี้ในฐานะสิ่งสูงสุดจะนำไปสู่บาปและความพินาศ พระเจ้าทรงเรียกร้องให้พวกเขาหันออกจากความหวังลมๆ แล้งๆ ของตนและให้เกียรติพระองค์ ฮาบากุกทูลขอให้พระเจ้าทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์อีกครั้ง และให้คำมั่นสัญญาว่าจะวางใจในพระเจ้าและรอคอยเวลาของพระองค์
ข้อคิด: ฮาบากุก 1-3
ฮาบากุก 3:17-19 แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่แน่วแน่ โดยเน้นถึงความสามารถที่จะชื่นชมยินดีในพระเจ้า แม้ในยามที่สิ่งต่างๆ รอบตัวล้มเหลว โดยตระหนักว่าความมั่งคั่ง ความปลอดภัย อำนาจ ความสุข และการควบคุมนั้นเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และความชื่นชมยินดีที่แท้จริงนั้นไม่ได้มาจากผลผลิตของเถาองุ่นหรือคอกที่เต็มไปด้วยสัตว์ แต่มาจากการพึ่งพาพระเจ้า ผู้ทรงเป็นกำลัง ความแข็งแกร่ง และความรอดของเรา ทำให้เราสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงและเดินด้วยความเชื่อแม้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย
คำถาม
1. ฮาบากุกถามพระเจ้าเกี่ยวกับการที่คนชั่วเจริญรุ่งเรืองและการที่พระเจ้าทรงนิ่งเฉยต่อความอยุติธรรม ในโลกปัจจุบัน เราจะรักษาสันติสุขและความเชื่อได้อย่างไรเมื่อเราเห็นความไม่เท่าเทียมและความทุกข์ทรมานมากมายรอบตัวเรา?
2. ฮาบากุกเรียนรู้ที่จะวางใจในพระเจ้าแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด เราสามารถนำหลักการนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเผชิญกับความไม่แน่นอน ความกลัว หรือความผิดหวัง?
ฮาบากุก บทที่ 3 เป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดที่ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกได้เผชิญ บทนี้เป็นบทเพลงอธิษฐานที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากความสับสนและร้องทุกข์ไปสู่การสรรเสริญและวางใจในพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
นี่คือข้อคิดที่สำคัญจากฮาบากุก บทที่ 3
1. ความเชื่อที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความยำเกรง
ในตอนแรก ฮาบากุกรู้สึกหวาดกลัวและสั่นสะเทือนเมื่อได้รับรู้ถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่จะทรงใช้บาบิโลนมาลงโทษชนชาติยูดาห์ (ฮาบากุก 3:16) แต่ความกลัวนั้นไม่ได้ทำให้เขาท้อแท้หรือสิ้นหวัง กลับกัน มันเปลี่ยนไปเป็น ความยำเกรง และ ความเชื่อมั่น ในพระอำนาจของพระเจ้า เขาตระหนักว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่ง และกำลังจะทรงทำสิ่งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน
2. การสรรเสริญท่ามกลางความทุกข์ยาก
นี่คือข้อคิดที่โดดเด่นที่สุดในบทนี้ ฮาบากุกเปรียบเทียบสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตของเขา นั่นคือการที่พืชผลและสัตว์เลี้ยงทั้งหมดจะสูญสิ้นไป ซึ่งหมายถึงความอดอยากและความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด (ฮาบากุก 3:17) แต่เขากลับประกาศว่า "ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า" (ฮาบากุก 3:18)
นี่ไม่ใช่ความยินดีจอมปลอมที่พยายามซ่อนความทุกข์ไว้ แต่เป็นความยินดีที่แท้จริงซึ่งมาจากความเชื่อที่ว่า พระเจ้ายังคงเป็นผู้ช่วยให้รอด ของเขา แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวจะพังทลายลง
3. พระเจ้าทรงเป็นกำลังและผู้ทำให้เรามั่นคง
ในข้อสุดท้าย ฮาบากุกได้สรุปความเชื่อของเขาไว้อย่างทรงพลังว่า "พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพเจ้ามั่นคงเหมือนเท้ากวาง และพระองค์ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเดินไปบนยอดเขาได้" (ฮาบากุก 3:19)
ข้อนี้สอนให้เรารู้ว่า:
- กำลังที่แท้จริงมาจากพระเจ้า ไม่ใช่จากทรัพย์สินเงินทองหรือความสำเร็จในโลกนี้
- พระเจ้าจะทำให้เรามั่นคง เปรียบเสมือนเท้ากวางที่สามารถเดินไปบนทางที่ยากลำบากและสูงชันได้อย่างมั่นคงโดยไม่สะดุดล้ม
- พระเจ้าจะนำเราไปสู่ที่สูง แม้ว่าหนทางจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่พระเจ้าจะทรงนำเราให้ก้าวข้ามผ่านไปได้
ข้อคิดจากฮาบากุก บทที่ 3 คือการแสดงให้เห็นถึงการเดินทางจากความสงสัยและความทุกข์ไปสู่ความเชื่อที่มั่นคงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต และสอนให้เราเรียนรู้ที่จะ ชื่นชมยินดีในพระเจ้า ผู้ทรงเป็นกำลังและเป็นผู้ช่วยให้รอดของเราอย่างแท้จริง