เรื่องย่อ
ยอห์น 7 และ 8 บันทึกถึงความตึงเครียดและการโต้แย้งที่เพิ่มขึ้นระหว่างพระเยซูกับผู้นำชาวยิวในเทศกาลพลับพลา พระเยซูทรงไปที่กรุงเยรูซาเลมอย่างลับๆ และทรงเริ่มสอนในพระวิหาร ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งเนื่องจากผู้คนต่างถกเถียงกันว่าพระองค์ทรงเป็นใครและมาจากไหน ผู้นำชาวยิวส่งคนไปจับพระองค์ แต่พวกเขาก็กลับมามือเปล่า เนื่องจากพวกเขารู้สึกประทับใจในการสอนของพระองค์ ในวันที่เทศกาล พระเยซูทรงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นน้ำที่ให้ชีวิตและผู้ที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยน้ำที่ไหลออกมาจากภายใน พระเยซูทรงให้อภัยหญิงที่ถูกจับได้ว่ากำลังล่วงประเวณี ซึ่งเป็นการกระทำที่ท้าทายความหน้าซื่อใจคดของผู้นำทางศาสนา พระเยซูทรงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลกและผู้ที่ติดตามพระองค์จะไม่เดินในความมืด ยอห์น 7 และ 8 แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นระหว่างพระเยซูกับผู้นำชาวยิว และการเรียกร้องของพระเยซูให้ผู้คนเชื่อในพระองค์และรับชีวิตนิรันดร์
ในบทบาทของพระเยซูในช่วงเวลานั้น พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับพวกฟาริสีและเหล่าผู้มีอำนาจทางศาสนา ซึ่งพยายามจับพระองค์ในข้อกล่าวหาและโจมตีพระองค์อย่างต่อเนื่อง แต่พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์รู้ดีว่าพวกเขากำลังจงใจไม่เชื่อและไม่เข้าใจในพระดำรัสของพระเจ้า พระองค์ตรัสว่า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของโลกและไม่ใช่ของอาณาจักรของพระเจ้า และพระองค์ยังทรงชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับพระบิดาและพระเยซูเอง เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะและความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระเจ้า พระองค์เน้นว่าพวกเขาไม่รู้จักพระบิดาและพระองค์เอง ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการเข้าใจบทบาทและพระดำรัสของพระองค์ในฐานะพระเมสสิยาห์และพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง
เมื่อพระองค์เสด็จไปยังพระวิหาร พระองค์ทรงใช้พลังแห่งพระวิญญาณและฤทธิ์เดชในการสอนและแสดงตัวตน เห็นได้ชัดจากคำตอบของพระองค์เมื่อถูกถามว่าพระองค์อ้างสิทธิใด พระองค์ตรัสว่า “พระบิดาของข้าพเจ้าเป็นพยานถึงข้าพเจ้า” ซึ่งเป็นคำยืนยันอย่างแรงกล้าว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรแห่งพระเจ้าอย่างแท้จริง ทรงเน้นว่าพระบิดาเป็นแหล่งที่มาของพระองค์และพระองค์เป็นสิ่งเดียวที่จะพวกเขารู้จักเพื่อเข้าถึงความรอดและความสัมพันธ์ที่แท้จริง ด้วยภาษาที่ทรงใช้ พระองค์ทรงระบุว่า ผู้ใดไม่รู้จักพระบิดาและไม่ยอมเชื่อในพระองค์ ก็ไม่สามารถเข้าใจและรับรู้ถึงความจริงของพระเจ้าในจักรวาลนี้ได้
พระองค์ยังทรงประกาศว่าพระองค์จะต้องถูกยกขึ้นบนกางเขนและสิ้นพระชนม์ ซึ่งเป็นความหวังและความเข้าใจที่พวกเขาจะได้รับในเวลาต่อมา ถึงแม้ในเวลานั้นพวกเขาจะยังไม่ยอมจำนนต่อพระองค์ แต่พระองค์ทรงเตือนว่าพวกเขาจะไม่อาจปฏิเสธพระองค์ได้ในที่สุด และเมื่อพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นผู้ดำรงอยู่ก่อนอับราฮัม” พระองค์ทรงใช้ถ้อยคำของพระยาห์เวห์จากอพยพ 3:14 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนก่อตั้งโลก เป็นพระเจ้าองค์เดียวที่ทรงดำรงอยู่แล้วยืนยงด้วยพระองค์เอง เป็นความจริงที่ย้ำให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริงและเป็นรากฐานของความรอดในทุกยุคสมัย
ข้อคิด: ยอห์น 7-8
พระเยซูตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถมองเห็นได้ นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า ปฐมกาล 3:15 เป็นคำพยากรณ์แรกเกี่ยวกับพระเยซูในพระคัมภีร์ ซึ่งกล่าวถึงชัยชนะของพระองค์เหนือศัตรู แต่บางทีคำพยากรณ์แรกที่แท้จริงอาจอยู่ในปฐมกาล 1:3 ที่พระเจ้าพระบิดาทอดพระเนตรโลกที่มืดมิดและวุ่นวาย ทรงทราบถึงความแตกหักทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่พระองค์ทรงสร้างมันเสร็จ และตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" บางทีนั่นอาจเป็นมากกว่าแค่พระบัญชาแห่งการทรงสร้าง บางทีมันอาจเป็นพระสัญญา ราวกับว่าพระองค์กำลังตรัสว่า "สิ่งต่างๆ กำลังจะมืดมิดมาก แต่ความสว่างกำลังมา จงยึดมั่นไว้ ความสว่างกำลังมา" หากนั่นเป็นคำพยากรณ์ พระเยซูทรงเป็นผู้เติมเต็มอย่างแน่นอน และพระองค์ทรงเป็นที่ซึ่งความชื่นชมยินดีอยู่!
คำถาม
1. ในยอห์น 7:24 พระเยซูทรงตรัสว่า "อย่าตัดสินตามที่เห็นภายนอก แต่จงตัดสินอย่างถูกต้อง" เราจะแยกแยะและตัดสินอย่างถูกต้องได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ซับซ้อนทางศีลธรรม หรือเมื่อเราได้รับข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ และการใช้พระคัมภีร์เป็นแนวทางในการตัดสินใจของเรามีความสำคัญอย่างไร?
2. ในยอห์น 8:31-32 พระเยซูตรัสว่า "ถ้าท่านดำรงอยู่ในคำของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ" การ "ดำรงอยู่ในพระวจนะ" ของพระเยซูมีความหมายว่าอะไร และพระคัมภีร์มีบทบาทอย่างไรในการปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ และเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเรากำลังดำเนินชีวิตตามความจริงของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา?
ยอห์นบทที่ 8 มีข้อคิดและคำสอนที่สำคัญหลายประการ ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเด็นหลัก ๆ ได้ดังนี้:
1. พระเมตตาและการให้อภัยบาป (เรื่องหญิงที่ถูกจับฐานล่วงประเวณี - ยอห์น 8:1-11):
o การไม่ตัดสินผู้อื่น: พระเยซูทรงท้าทายผู้ที่กล่าวโทษหญิงคนนั้นว่า "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อน" (ยอห์น 8:7) ซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกสำนึกผิดและเดินจากไป ข้อคิดคือ ทุกคนล้วนเป็นคนบาปและไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินหรือลงโทษผู้อื่นด้วยความเย่อหยิ่ง
o การให้โอกาสและพระเมตตา: พระเยซูไม่ได้ทรงลงโทษหญิงคนนั้น แต่ทรงให้อภัยและสั่งให้นาง "ไปเถิด และจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก" (ยอห์น 8:11) ข้อคิดคือ พระเจ้าทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพร้อมที่จะให้อภัยแก่ผู้ที่สำนึกผิดและกลับใจ
2. พระเยซูคือความสว่างของโลก (ยอห์น 8:12):
o พระเยซูทรงประกาศว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต" ข้อคิดคือ การดำเนินชีวิตตามพระเยซูจะนำเราออกจากความมืดของความบาป ความเข้าใจผิด และความไม่รู้ ไปสู่ความสว่างแห่งความจริงและชีวิตนิรันดร์
3. ความจริงและการเป็นไท (ยอห์น 8:31-36):
o พระเยซูตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า "ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในคำของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท" ข้อคิดคือ การยึดมั่นในคำสอนของพระเยซูและการรู้จักความจริงของพระองค์นำไปสู่เสรีภาพที่แท้จริงจากความเป็นทาสของความบาป
4. การเชื่อในพระเยซูคือการรู้จักพระบิดา (ยอห์น 8:19, 28, 54-55):
o พระเยซูทรงยืนยันถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาของพระองค์ และทรงชี้แจงว่า ผู้ที่ไม่รู้จักพระเยซูจะไม่สามารถรู้จักพระบิดาได้ และผู้ที่ให้เกียรติพระเยซูก็คือผู้ที่ให้เกียรติพระบิดา
ข้อคิดหลักจากยอห์น บทที่ 8 คือ พระเมตตาของพระเยซูที่เหนือกว่าการตัดสินตามตัวอักษรของธรรมบัญญัติ, การที่พระเยซูเป็นแหล่งกำเนิดความจริงและความสว่างแห่งชีวิต, และเสรีภาพที่มาจากการยึดมั่นในคำสอนของพระองค์