เรื่องย่อ
เมื่อมองไปยังบันทึกประวัติศาสตร์ใน 1 พงศาวดาร บทที่ 7-10 เราพบความสำคัญของการสืบทอดสายเลือดและเผ่าต่างๆ ในอิสราเอล ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้างพื้นฐานทางอัตลักษณ์ที่แน่นแฟ้น โดยบทที่ 7 เริ่มจากการบันทึกเผ่าของเอฟราอิมและลูกหลาน อีกทั้งยังมีการระบุตัวตนของผู้นำที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของพวกเขา สำหรับบทที่ 8 จะแสดงความสำคัญของเผ่เบนจามิน รวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งของชัยชนะและการต่อสู้ในสงครามที่สำคัญ ต่อมาในบทที่ 9 มีการบันทึกเกี่ยวกับผู้ที่กลับมาจากการถูกเนรเทศ แสดงให้เห็นถึงความแรงกล้าของการกลับสู่สังคมและประชาชาติ ในที่สุดบทที่ 10 ว่าด้วยความพ่ายแพ้ของกษัตริย์ซาอูลและการสูญเสียอำนาจสร้างความรู้สึกแห่งความเศร้าโศกและสำนึกผิดเกี่ยวกับการแสดงออกในช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์อิสราเอล การรวบรวมประวัติศาสตร์ในบทเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพื่อจดจำบรรพบุรุษ แต่ยังเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังในการรักษาคุณค่าของความเชื่อและความเป็นหนึ่งเดียวในพระเจ้า
วันนี้เราจะมาสรุปลำดับวงศ์ตระกูลของเผ่าเบนจามิน โดยเริ่มต้นจากข้อมูลที่เราจะพบในบทที่ 7 ที่แสดงลำดับวงศ์ตระกูลของเผ่าเบนจามิน ก่อนที่จะเข้าสู่บทที่ 8 ที่มีลำดับวงศ์ตระกูลอีกชุดหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก ในบทนี้จะเน้นไปที่สายเลือดของซาอูล ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่าทำไมจึงไม่รวมเข้ากับบทที่ 7 อย่างไรก็ตาม การแบ่งลำดับวงศ์ตระกูลนี้อาจเกี่ยวกับการแตกแยกของเผ่าเบนจามินในอนาคต ผู้เขียนซึ่งบันทึกเนื้อหานี้ห้าร้อยปีหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้น จึงอาจมีข้อมูลเกี่ยวกับการแยกทางนี้มาบันทึกไว้
ลำดับวงศ์ตระกูลถูกใช้งานเพื่อติดตามว่าสมาชิกเผ่ากลับมาจากการเนรเทศอย่างไรในบทที่ 9 ที่เราจะเห็นภาพรวมว่าผู้คนกลับมาจากไหนและไปอาศัยอยู่ที่ไหน โดยเฉพาะเน้นไปที่กรุงเยรูซาเล็ม เมืองหลวงทางศาสนา เมื่อวิหารสร้างเสร็จ บทนี้ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนคนที่เกี่ยวข้องในการจัดการต่าง ๆ ในวิหาร ซึ่งรวมถึงการเฝ้าประตูและการเตรียมอาหาร นอกจากนี้ ทุกคนที่ทำงานในวิหารถือเป็นผู้นำในแบบที่ตนรับผิดชอบ
ในบทที่ 10 จะมีการกล่าวถึงการตายของซาอูลที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งย้อนกลับไปยืนยันเรื่องราวก่อนหน้านี้ว่าซาอูลฆ่าตัวตายในสนามรบ ขณะที่คำกล่าวของชาวอามาเลกที่อ้างว่าเขาฆ่าซาอูลนั้นดูเหมือนจะเป็นการโกหก ซาอูลเป็นผู้นำของชนชาติพระเจ้าที่ไม่ได้แสวงหาพระเจ้า ท้ายที่สุดแล้ว ข้อสรุปในตอนท้ายแสดงให้เห็นถึงการจัดตั้งที่พระเจ้าประหารชีวิตซาอูล ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความจริงเกี่ยวกับพระทัยของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตและความตายของเราทุกคน
ข้อคิด: 1พงศาวดาร 7-10
พระเจ้าทรงปกป้องประชากรของพระองค์ พระเจ้าไม่ได้ยืนหยัดเพื่อผู้นำที่ทำสิ่งต่างๆ ตามทางของตนเอง ไม่สนใจความดีของประชาชน ทรยศต่อพระเจ้าแห่งจักรวาล และแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว พระเจ้าไม่อนุญาตให้บุคคลนั้นเป็นผู้นำประเทศที่พระองค์ทรงตั้งพระนามไว้เองต่อไป ธรรมชาติที่ปกป้องของพระเจ้าช่วยให้เราไว้วางใจพระองค์มากขึ้น และแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศนั้น พระองค์ก็ปกป้องเราเช่นกัน อันตรายเกิดขึ้นกับลูกๆ ของพระเจ้าหรือไม่? แน่นอน แต่พระองค์ทรงรักษาสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือจิตวิญญาณของเราและความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ พระองค์ทรงเฝ้าระวังเมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่มีคุณค่าชั่วนิรันดร์ พระองค์ทรงทำให้เราเป็นของพระองค์ตลอดไป และพระองค์ทรงเป็นผู้ปกป้องเรา พระองค์ทรงอยู่ที่ซึ่งความปีติยินดีอยู่!
คำถาม
1. ผลของการกระทำและการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์: ในบทที่ 10 อธิบายถึงการสิ้นสุดของราชวงศ์ซาอูล ซึ่งเกิดจากการไม่เชื่อฟังพระเจ้าและการตัดสินใจที่ผิดพลาด คุณคิดว่าการเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตสำคัญต่อการตัดสินใจในปัจจุบันอย่างไร? เราจะสามารถนำบทเรียนจากประวัติศาสตร์มาใช้เพื่อปรับปรุงวิถีชีวิตและการตัดสินใจได้อย่างไร?
2. ความสำคัญของการสานต่อและรักษามรดกทางวัฒนธรรม: บทที่ 7-9 พูดถึงสายตระกูลและการเชื่อมโยงระหว่างแต่ละเผ่า การสานต่อมรดกทางวัฒนธรรมและครอบครัวมีบทบาทอย่างไรในปัจจุบัน? เราสามารถรักษาและส่งเสริมมรดกนี้ต่อไปอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในชุมชนและสังคมของเรา?
ทำไมคำกล่าวของชาวอามาเลกที่อ้างว่าเขาฆ่าซาอูลนั้นดูเหมือนจะเป็นการโกหก
เหตุผลที่คำกล่าวของชาวอามาเลกที่อ้างว่าเขาฆ่าซาอูลนั้นดูเหมือนจะเป็นการโกหกมีหลายประการ ดังนี้:
- คำให้การขัดแย้งกับบันทึกก่อนหน้า: ใน 1 ซามูเอล บทที่ 31 ได้บันทึกไว้ว่าซาอูลได้รับบาดเจ็บสาหัสในการรบกับชาวฟีลิสเตีย และเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกศัตรูจับไปทรมาน เขาจึงล้มทับดาบของตนเองเพื่อฆ่าตัวตาย คำให้การของชาวอามาเลกใน 2 ซามูเอล บทที่ 1 ที่ว่าเขาเป็นผู้ฆ่าซาอูลนั้นขัดแย้งกับบันทึกนี้โดยตรง
- แรงจูงใจที่น่าสงสัย: ชาวอามาเลกนำมงกุฎและกำไลแขนของซาอูลมามอบให้ดาวิด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ การกระทำนี้บ่งชี้ว่าเขาต้องการได้รับการตอบแทนหรือความโปรดปรานจากดาวิด ซึ่งเป็นผู้ที่คาดว่าจะขึ้นเป็นกษัตริย์คนต่อไป การอ้างว่าตนเองเป็นผู้ฆ่าศัตรูของดาวิดจึงอาจเป็นอุบายเพื่อหวังผลประโยชน์
- ความไม่น่าจะเป็นของสถานการณ์: เป็นไปได้ยากที่ซาอูล ซึ่งเป็นกษัตริย์และมีทหารองครักษ์อยู่รอบกาย จะขอให้ชาวต่างชาติที่ไม่รู้จักมาสังหารตนเอง ในสถานการณ์คับขันเช่นนั้น ซาอูลน่าจะขอให้ทหารที่จงรักภักดีของตนเองเป็นผู้กระทำมากกว่า
- การยืนยันการตายของซาอูลโดยคนอื่น: ใน 1 ซามูเอล บทที่ 31 ยังระบุว่าผู้ถืออาวุธของซาอูลเห็นว่าซาอูลเสียชีวิตแล้วก่อนที่เขาจะฆ่าตัวตายตาม การมีพยานยืนยันการตายของซาอูลด้วยการฆ่าตัวตายเอง ทำให้คำกล่าวของชาวอามาเลกขาดความน่าเชื่อถือ
ข้อคิดที่เราได้จากเหตุการณ์นี้:
- ความไม่น่าไว้วางใจของการโกหกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว: เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าการโกหกเพื่อหวังผลประโยชน์มักไม่ประสบผลสำเร็จ และอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้าย ดังเช่นชาวอามาเลกที่ถูกดาวิดสั่งประหารชีวิต
- ความสำคัญของความซื่อสัตย์และความจริงใจ: ดาวิดให้ความสำคัญกับความจริงและความซื่อสัตย์ การที่ชาวอามาเลกโกหกเกี่ยวกับเรื่องสำคัญเช่นการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ ทำให้เขาไม่ได้รับการยอมรับและถูกลงโทษ
- การพิจารณาแรงจูงใจเบื้องหลังคำพูดและการกระทำ: เราควรพิจารณาถึงแรงจูงใจของผู้ที่นำข่าวสารมาให้เรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข่าวนั้นดูเหมือนจะเอื้อประโยชน์ต่อผู้แจ้ง
- การยึดมั่นในความจริงแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก: ดาวิดแสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อซาอูลในฐานะผู้ที่ได้รับการเจิมตั้งจากพระเจ้า แม้ว่าซาอูลจะเป็นศัตรูของเขาก็ตาม การยึดมั่นในหลักการและความจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โดยสรุป คำกล่าวของชาวอามาเลกน่าจะเป็นเรื่องโกหกที่สร้างขึ้นเพื่อหวังผลประโยชน์จากดาวิด เหตุการณ์นี้สอนเราถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์ การพิจารณาแรงจูงใจ และการยึดมั่นในความจริง