เรื่องย่อ
การโต้เถียงระหว่างโยบกับเพื่อนทั้งสามยังคงดำเนินต่อไป โยบยืนกรานถึงความบริสุทธิ์ของตน และแสดงความเจ็บปวดและความท้อแท้ เขาเปรียบเทียบความทุกข์ยากกับสิ่งที่ไม่อาจทนได้ ขณะที่เพื่อน ๆ ยังคงยืนยันว่าความทุกข์มาจากบาป และพยายามชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องของโยบ
โยบปฏิเสธข้อกล่าวหาและถามถึงความยุติธรรมของพระเจ้า เขาอธิบายว่าความทุกข์ของเขาเกินกว่าที่จะรับได้ และขอให้พระเจ้าทรงยุติความทรมาน เขาเริ่มวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า แต่ยังคงรู้สึกสับสนและหมดหวัง โยบรู้สึกว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งเขา และความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจเพิ่มขึ้น
แม้เขาจะรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ไม่ใกล้เคียงกับความหมาย แต่เขายังยึดมั่นในความหวังว่าพระเจ้าจะทรงแสดงความยุติธรรมและความเมตตาในที่สุด ช่วงนี้เน้นถึงความเจ็บปวดและความสับสนที่โยบเผชิญ ขณะที่เขาต่อสู้กับความทุกข์ยากและตั้งคำถามถึงความยุติธรรมของพระเจ้า
เยี่ยมเลยครับ วันนี้เป็นวันที่หกที่พี่น้องได้เข้ามาอ่านพระคัมภีร์ ถ้าจะเปรียบถึงการทรงสร้างของพระเจ้าวันนี้ก็คงเป็นวันแห่งความสำเร็จ แต่อย่าพึ่งหยุดน่ะครับ ขอให้อ่านทุกวัน เริ่มจากบทเรียนเราได้เห็นว่าโยบได้มาสู่หลังจากสูญเสียทุกสิ่ง โยบต้องฟังคำแนะนำที่ไม่ดีจากเพื่อนสามคนของเขา ต่อมาเขาปกป้องตัวเองจากคำพูดของเอลีฟาซ โดยไม่ได้สาปแช่งพระเจ้า แม้ว่าเขาจะรู้สึกมืดแปดด้านและเจ็บปวด เขาเข้าใจว่าความทุกข์นี้ไม่มาจากบาปของเขา
เวลาที่เรามีปัญหาความสัมพันธ์ คำถามที่นักบำบัดแนะนำให้ถามคือ “บาปของฉันอยู่ที่ไหนในสถานการณ์นี้?” และ “ฉันจะรับผิดชอบอะไรได้บ้าง?” แต่บางครั้งปัญหาไม่ได้เกิดจากเราจริง ๆ อย่างเช่น ผู้ที่ถูกข่มขืนหรือทำร้าย ไม่ควรคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตัวเอง บิลดัดก็ให้คำแนะนำไม่ดีเช่นเดียวกัน โดยบอกโยบให้กลับใจ ขณะที่จริง ๆ แล้วโยบเป็นคนไม่มีความผิด
เพื่อน ๆ ของโยบดำเนินการโจมตีเขาในขณะที่เขากำลังเศร้าโศก โดยเชื่อว่าพวกเขากำลังช่วยเขา โยบตอบบิลดัดด้วยความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า เขาอ้างว่าตนจะยื่นขอความเมตตาจากผู้กล่าวหา ซึ่งอาจหมายถึงพระเจ้าหรือซาตาน
การพูดถึงความเมตตาและพระคุณเป็นสิ่งสำคัญ โดยความเมตตาคือการไม่ถูกลงโทษในสิ่งที่เราเหมาะสมจะได้รับ ขณะที่พระคุณคือการได้รับสิ่งดี ๆ ที่เราไม่ควรได้ ทุกคนรวมทั้งโยบเป็นมนุษย์ที่บาป แต่โยบยังเชื่อว่าพระเจ้ายังคงมีเมตตาเขา แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขาสมควรถูกลงโทษก็ตาม
ข้อคิด: โยบ 6-9
ในเรื่องราวของโยบ เราเห็นพลังของพระเจ้าอย่างชัดเจน โยบพูดถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์หลายประการ เช่น พระองค์ทรงควบคุมดวงอาทิตย์ ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และมีพระทัยที่ฉลาดและทรงพลัง
แม้พระเจ้าจะยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ก็ยังทรงใกล้ชิดกับมนุษย์อย่างไม่น่าเชื่อ โยบได้ถามว่า “มนุษย์คืออะไร ที่พระองค์ทำให้เขายิ่งใหญ่และเอาใจใส่เขาเช่นนี้” พระเจ้าทรงสร้างและควบคุมทุกสิ่ง แต่พระทัยของพระองค์ไม่อยู่ที่ภูเขาหรือดาว แต่ประทับอยู่ที่มนุษย์ ซึ่งเป็นของขวัญที่น่าทึ่งมาก! พระองค์อยู่กับที่ที่มีความปีติยินดี!
คำถาม
- ความเหมาะสมของคำปลอบโยน: เพื่อนของโยบพยายามปลอบโยนเขาด้วยการกล่าวโทษเขาว่าทำบาป แต่คำพูดของพวกเขาทำให้โยบเจ็บปวดมากกว่าเดิม นี่นำไปสู่คำถามเกี่ยวกับวิธีการปลอบโยนผู้ที่กำลังทุกข์ทรมานอย่างเหมาะสม อะไรคือวิธีการที่สร้างสรรค์และให้กำลังใจ? การเน้นโทษบาปเป็นวิธีที่ดีที่สุดหรือไม่? หรือควรเน้นการสนับสนุนและความเข้าใจมากกว่า?
- ความแตกต่างระหว่างความยุติธรรมและความเมตตา: โยบเรียกร้องความยุติธรรมจากพระเจ้า แต่คำตอบที่เขาได้รับดูเหมือนจะขาดความเมตตา นี่ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างความยุติธรรมและความเมตตา ในสถานการณ์ต่างๆ ควรเน้นด้านใดมากกว่ากัน? ความยุติธรรมที่เข้มงวดเสมอไปจะเหมาะสมหรือไม่? หรือควรให้ความสำคัญกับความเมตตาและการให้อภัย?
พระคุณ (Grace) หมายถึงความรักและความเมตตาที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์โดยไม่ต้องอิงกับความดีหรือคุณธรรมของบุคคลนั้น ๆ พระคุณเป็นการให้ที่ไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขหรือการตอบแทน ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าทรงยินดีที่จะให้อภัยและรับคนที่มีความไม่สมบูรณ์หรือบาปเข้ามาในความสัมพันธ์กับพระองค์
ในทางทฤษฎี พระคุณมักแบ่งออกเป็นสองประเภท:
1. พระคุณที่ช่วยให้รอด (Saving Grace) - คือพระคุณที่พระเจ้าประทานให้เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปและได้รับความรอด ผ่านความเชื่อในพระเยซูคริสต์
2. พระคุณที่เสริมสร้าง (Sustaining Grace) - คือพระคุณที่ช่วยให้ผู้เชื่อสามารถดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าทรงต้องการ แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
โดยรวมแล้ว พระคุณเป็นการแสดงถึงความงดงามและความรักของพระเจ้า ที่ยินดีที่จะให้มากกว่าที่เราสมควรได้รับ.