เรื่องย่อ
มาระโก 4 และ 5 แสดงให้เห็นถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเยซูเหนือธรรมชาติ โรคภัย และความตาย และเน้นถึงความสำคัญของความเชื่อในการรับฤทธิ์เดชของพระองค์ พระเยซูทรงสงบพายุที่โหมกระหน่ำบนทะเลสาบกาลิลี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจของพระองค์เหนือองค์ประกอบทางธรรมชาติและทำให้เหล่าสาวกประหลาดใจ การรักษาคนทรงผีที่เกราซาเปิดเผยอำนาจของพระเยซูเหนือกองทัพผีปีศาจ ซึ่งปลดปล่อยชายผู้นั้นจากความทุกข์ทรมานอย่างหนัก การรักษาหญิงที่ป่วยเป็นโรคเลือดและการฟื้นคืนชีพบุตรสาวของไยรัสแสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจของพระเยซูและความสามารถในการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย เรื่องราวเหล่านี้เน้นถึงอำนาจของพระเยซูในการตอบสนองความต้องการทั้งทางกายและทางวิญญาณของมนุษย์ และความสำคัญของการมีความเชื่อในอำนาจของพระองค์ แม้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังที่สุด
วันนี้เราเริ่มต้นด้วยเรื่องราวจากมาระโกเกี่ยวกับคำอุปมาเรื่องดินสี่ชนิด ซึ่งเชื่อมโยงกับคำถามเกี่ยวกับจุดประสงค์ของตะเกียง พระเยซูไม่ได้ซ่อนแสงสว่างไว้แต่แสดงออกมาอย่างชัดเจน เพื่อบอกให้เรารู้ว่าแสงและเมล็ดพันธุ์ต้องไปทั่วทุกแห่ง บางคนอาจเลือกซ่อนตาของตนจากแสงสว่าง แต่ก็ยังคงส่องสว่างในความมืดอยู่ดี เมล็ดพันธุ์จะต้องตกบนดินสี่ประเภท ซึ่งมีทั้งดินที่ไม่ดีและดินที่ดี แต่ทุกเมล็ดสามารถเติบโตและออกผลได้ขึ้นอยู่กับว่าจะตอบสนองต่อสภาพดินอย่างไร พระองค์อธิบายว่าแผ่นดินสวรรค์นั้นไม่ได้เป็นเพียงประสบการณ์เท่านั้น แต่เป็นพลังที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ แม้เริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อย เช่นเมล็ดมัสตาร์ด ที่เติบโตอย่างไม่หยุดหย่อนและครอบครองทุกสิ่งอย่างช้าๆ
ในคืนหนึ่ง พระเยซูพาเหล่าสาวกลงเรือไปยังฝั่งทะเลกาลิลี ซึ่งเป็นเขตของคนต่างชาติ เรื่องราวนี้ไม่เพียงบรรยายถึงพายุที่พัดกระหน่ำและน้ำที่ท่วมเรือ แต่ยังเผยให้เห็นพระองค์ทรงพักผ่อนอยู่ในพายุก่อนที่พระองค์จะลุกขึ้นห้ามพายุ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการตอบสนองอย่างรวดเร็วและทรงพลังของพระองค์ แม้พวกสาวกจะกลัวและปลุกพระองค์ด้วยความกังวล พระองค์ทรงมีความเห็นใจและสอนให้พวกเขาเชื่อมั่นในพระองค์ ให้พึ่งพาความเชื่อแม้ในช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุด และเสริมกำลังใจด้วยการสอนให้พวกเขาจดจำบทเรียนเกี่ยวกับพระองค์
คำว่า "ตำหนิ" มีการใช้ในพระคัมภีร์ใหม่เกือบสามสิบครั้ง แต่ไม่เคยใช้กับเหล่าสาวกเลย พระเยซูทรงตำหนิพายุและมารซาตาน และครั้งเดียวที่อาจเป็นการตำหนิในประวัติศาสตร์คือเมื่อพระองค์บอกเปโตรว่า “จงไปให้พ้นหน้าเรา ซาตาน” ซึ่งนักวิชาการเชื่อว่าทรงหมายถึงซาตานโดยตรง พระองค์ทรงเน้นให้เราเข้าใจว่าการตำหนิไม่ใช่เรื่องผิด หากเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมและด้วยความเมตตา พระองค์ทรงพบและให้คำแนะนำแก่ผู้ติดตามในทุกสถานการณ์ โดยเน้นไปที่ความเห็นใจมากกว่าความวิจารณ์ และคำสอนวันนี้เตือนใจเราว่า พระองค์ไม่ทรงทำให้เราละอายใจในความกลัว แต่ทรงอยู่เคียงข้างและห่วงใยเราทุกเมื่อ แม้ในพายุก็ตาม
ข้อคิด: มาระโก 4-5
ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตและส่งผลกระทบต่อทุกด้านของเรา ทุกสิ่งที่เราเรียนรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับพระองค์เป็นการต่อยอดจากความสัมพันธ์นิรันดร์นี้ ในช่วงพายุนั้น ลูกศิษย์ได้เรียนรู้บางสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถรู้ได้จากที่อื่น คือ พระองค์ทรงมีอำนาจสูงสุดเหนือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา และนี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายครั้งที่พระองค์แสดงฤทธิ์อำนาจให้พวกเขาเห็น เพราะในอนาคต พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับพายุที่ใหญ่กว่านี้อีกตั้งแต่การทรมานบนไม้กางเขนไปจนถึงความตายของตัวเอง พระองค์ทรงช่วยให้พวกเขาเข้าใจและเชื่อมั่นในอำนาจของพระองค์อย่างค่อยเป็นค่อยไป จนหัวใจของพวกเขาเติบโตจากเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ ไปสู่ความเชื่อที่ครอบงำและไม่สามารถถูกทำลายได้ สุดท้าย พระองค์ทรงเป็นที่ซึ่งความชื่นชมยินดีและความหวังยังคงอยู่ตลอดกาล เพราะอาณาจักรของพระองค์ดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
คำถาม
1. ในมาระโก 4 พระเยซูทรงสงบพายุ ซึ่งเผยให้เห็นอำนาจเหนือธรรมชาติของพระองค์เหนือธรรมชาติ พระเยซูจะทรงสงบ "พายุ" แบบใดบ้างในชีวิตของเราในวันนี้ และเราจะวางใจในอำนาจและฤทธิ์เดชของพระองค์ได้อย่างไร เมื่อเราเผชิญกับความยากลำบาก?
2. ในมาระโก 5 พระเยซูทรงขับไล่ผีออกจากชายที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิงและทรงรักษาผู้หญิงที่ตกเลือด ทั้งสองเรื่องนี้เน้นถึงอำนาจของพระเยซูในการรักษาและปลดปล่อย เราจะตระหนักถึงสิ่งที่อาจ "ผูกมัด" เราในชีวิตของเราได้อย่างไร และเราจะแสวงหาการรักษาและการปลดปล่อยของพระเยซูได้อย่างไร?
มาระโก บทที่ 5 เป็นบทที่แสดงถึง พระอำนาจของพระเยซูคริสต์เหนือทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจมืด โรคภัยไข้เจ็บ หรือแม้แต่ความตาย และเน้นย้ำถึง ความสำคัญของความเชื่อ
ข้อคิดหลักจากมาระโก บทที่ 5 แบ่งออกเป็น 3 เรื่องอัศจรรย์ที่เกี่ยวพันกัน:
1. พระอำนาจเหนืออำนาจมืด (ชายถูกผีสิงที่เกราซา)
- ไม่มีอะไรเกินอำนาจพระเยซู: ชายคนนี้ถูกผีสิงมากมาย (ผีชื่อ "กองพล" หรือ Legion) จนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ไม่มีใครปราบได้ ถูกล่ามโซ่ก็ยังทำลายได้ เขาถูกทอดทิ้งให้อยู่ในสุสาน แต่เมื่อเขามาพบพระเยซู ผีเหล่านั้นก็ยอมสยบ และร้องขอชีวิต พระเยซูทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์มีอำนาจสมบูรณ์เหนือทุกพลังแห่งความชั่วร้าย
- ข้อคิด: ไม่ว่าปัญหาหรือการถูกกดขี่ในชีวิตเราจะดูยิ่งใหญ่และควบคุมไม่ได้เพียงใด พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่า และสามารถปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระได้อย่างสมบูรณ์
- การเป็นพยาน: หลังจากหายแล้ว ชายคนนั้นอยากติดตามพระเยซู แต่พระเยซูทรงสั่งให้เขากลับไปประกาศกับคนในครอบครัวและเมืองของเขาถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทำเพื่อเขา
- ข้อคิด: หน้าที่สำคัญของเราคือการแบ่งปันเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงและพระเมตตาที่เราได้รับจากพระเจ้าให้แก่คนใกล้ชิดของเรา
2. ความเชื่อที่ไม่ยอมแพ้ (หญิงตกเลือด)
- ความเชื่อนำไปสู่การรักษา: หญิงคนนี้ป่วยด้วยโรคตกเลือดมา 12 ปี ทรัพย์สินหมดไปกับการรักษาแต่ก็ไม่หาย เธอได้ยินเรื่องของพระเยซูและมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า "ถ้าได้ แตะต้องเพียงชายเสื้อของพระองค์ก็จะหาย" เธอบุกฝ่าฝูงชนเข้าไปแตะและหายทันที
- ข้อคิด: ความเชื่อที่กระตือรือร้น (Active Faith) มีฤทธิ์อำนาจ การที่เราเอื้อมออกไปหาพระเยซูอย่างสิ้นหวังและเชื่ออย่างหมดใจในพระอำนาจของพระองค์จะทำให้เราได้รับพระพร การรักษาและการสัมผัสจากพระเจ้า
- พระเยซูทรงใส่ใจรายบุคคล: แม้จะถูกเบียดเสียดด้วยคนจำนวนมาก พระเยซูทรงทราบว่ามีฤทธิ์อำนาจออกจากพระองค์ และทรงหยุดถามเพื่อเรียกหญิงคนนั้นออกมาเปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณะ
- ข้อคิด: แม้เราจะเป็นเพียงคนธรรมดาในฝูงชนที่วุ่นวาย พระเยซูทรงรู้จักเราเป็นการส่วนตัว และต้องการให้เราเผชิญหน้ากับพระองค์เพื่อยืนยันว่า "ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายดีแล้ว"
3. ชัยชนะเหนือกำแพงสุดท้าย (บุตรหญิงของไยรัส)
- อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้น: ไยรัส ซึ่งเป็นนายธรรมศาลาผู้มีชื่อเสียงมาอ้อนวอนให้พระเยซูไปรักษาลูกสาวที่กำลังจะตาย แต่ระหว่างทางมีคนมาบอกว่าลูกสาวของเขาตายแล้ว... ความหวังดูเหมือนจะสิ้นสุดลง แต่พระเยซูทรงตรัสกับไยรัสว่า "อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้น"
- ข้อคิด: ความเชื่อที่แท้จริง คือการเลือกที่จะเชื่อในพระคำของพระเจ้าแม้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังที่สุด (ความตาย) เราต้องปล่อยวางความกลัวและยึดมั่นในพระคำของพระองค์
- พระอำนาจเหนือความตาย: พระเยซูทรงอนุญาตให้มีเพียงบิดามารดาและสาวกสามคนเข้าไปในห้อง และทรงปลุกลูกสาวของไยรัสให้ฟื้นคืนชีวิต
- ข้อคิด: ความตายไม่ใช่จุดจบ สำหรับพระเยซูพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือขีดจำกัดสุดท้าย ของความเป็นมนุษย์ และทรงสามารถนำชีวิตมาสู่สิ่งที่เราคิดว่าสูญเสียไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
มาระโก บทที่ 5 คือการประกาศว่า พระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดและความเชื่อของเราคือสะพานที่เชื่อมต่อกับพระอำนาจนั้น เราไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวต่อปีศาจ โรคภัย หรือแม้แต่ความตาย หากเราเลือกที่จะเข้าหาพระองค์ด้วยความเชื่อที่ไม่ยอมแพ้