เรื่องย่อ
เมื่อความสับสนและความไม่ยุติธรรมทำให้เกิดคำถามในใจ คำสดุดีบทที่ 73 นำเสนอความขัดแย้งระหว่างการมองเห็นความรุ่งเรืองของคนชั่วร้ายกับชีวิตของคนชอบธรรม ผู้เขียนเริ่มต้นด้วยความเครียดและรู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นว่าคนชั่วเจริญรุ่งเรือง แต่เมื่อเขาเข้าสู่วิหารและใกล้ชิดกับพระเจ้า เขาจึงได้รับความเข้าใจว่าความเป็นจริงนั้นแตกต่างออกไป และคนชั่วจะต้องเผชิญกับผลกรรมในที่สุด ในบทสดุดี 77-78 มีการสะท้อนถึงการนึกถึงพระอำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในอดีต โดยเฉพาะเมื่อพระองค์ได้ช่วยอิสราเอลจากความทุกข์ยากในอดีตและนำทางพวกเขาผ่านทะเลแดง ทำให้ความเชื่อมั่นในพระองค์กลับคืนมา โดยบทสดุดีเหล่านี้มีความหมายลึกซึ้งที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้คนระลึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า แม้ในยามที่ชีวิตดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ในที่สุดก็ย้ำเตือนให้เรามองโลกด้วยสายตาของความเชื่อและความหวังในพระเจ้าผู้ทรงรัก
สดุดี 73 แสดงความขุ่นข้องใจของอาสาฟต่อความเจริญรุ่งเรืองของคนชั่ว ซึ่งสะท้อนถึงความรู้สึกเปรียบเทียบและความไม่พอใจในชีวิตส่วนตัวของเขา ท่ามกลางการคร่ำครวญนี้ อาสาฟคิดถึงสิ่งที่มีคุณค่าแท้จริงในชีวิต เขาระลึกถึงความสำคัญของการใกล้ชิดกับพระเจ้า แทนที่จะยึดติดกับความเจริญทางโลก มุมมองของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขามองข้ามสิ่งที่ไม่เป็นธรรมและยอมรับความใกล้ชิดกับพระเจ้าเป็นความสุขแท้จริง
ความเปลี่ยนแปลงของอาสาฟจากความขมขื่นไปสู่การสรรเสริญพระเจ้าแสดงถึงพัฒนาการในการมองเห็นพระคุณของพระเจ้า การที่สดุดีนี้ถูกเขียนขึ้นแสดงถึงการที่ความทุกข์และความขมขื่นสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของความจริงใจในการสนทนากับพระเจ้า โดยอาสาฟเรียนรู้ที่จะวางใจในความซื่อสัตย์และการช่วยเหลือจากพระองค์ในอดีต และใช้สิ่งนี้เป็นกำลังใจในความท้าทายปัจจุบัน
สดุดี 78 เป็นบทเรียนที่อาสาฟเขียนเพื่อสั่งสอนชนรุ่นหลังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของอิสราเอลกับพระเจ้า เขาเล่าเรื่องราวของความไม่ซื่อตรงและการบูชารูปเคารพ โดยยกตัวอย่างอันสำคัญของชาวเอฟราอิม อาสาฟสื่อสารว่าความล้มเหลวในอดีตควรถูกใช้เป็นบทเรียนเพื่อเตือนใจให้ยึดมั่นในความเชื่อและบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด
ข้อคิด: สดุดี 73; 77-78
สดุดีทั้งสามบทในวันนี้เน้นที่การมองหาพระเจ้าผ่านทางการมองเห็นที่ถูกต้อง หากเรามัวแต่เปรียบเทียบกับคนอื่นหรือมองที่ตัวเราเอง เราจะไม่สามารถเห็นพระเจ้าที่ดีได้ ในสดุดี 73 อาสาฟเฝ้ามองคนรอบด้านและรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับความรุ่งเรืองของคนชั่ว ทำให้เขาสงสัยในความดีของพระเจ้า แต่ในสดุดี 77 เขาได้เรียนรู้ที่จะหันกลับมามองและนึกถึงความซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่ให้แสงสว่างท่ามกลางความมืด ในสดุดี 78 อาสาฟกระตุ้นชาวอิสราเอลให้จำเรื่องราวของพระเจ้าที่เคยช่วยพวกเขาแทนที่จะมองไปที่รูปเคารพและความปรารถนาชั่วขณะ เสมือนการเตือนใจว่าเมื่อเราละสายตาจากสิ่งต่าง ๆ และมุ่งไปที่พระเจ้า เราจะพบกับความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริง
คำถาม
1. การจัดการกับความสงสัยและความไม่แน่ใจ: ในสดุดีบทที่ 73 ผู้เขียนสะท้อนถึงความรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับความเจริญของคนชั่วและความยากลำบากของคนดี คุณคิดว่าการที่เรารู้สึกสงสัยหรือไม่แน่ใจกับพระเจ้าหมายความว่าเราอ่อนแอหรือเปล่า? วิธีการที่เราสามารถจัดการกับความสงสัยเหล่านี้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร?
2. การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์และการสำนึกผิด: ในสดุดีบทที่ 77 และ 78 มีการยกย่องถึงประวัติศาสตร์ของประชาชนอิสราเอลและเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงทำเพื่อพวกเขา คุณคิดว่าการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์มีความสำคัญต่อการตัดสินใจในชีวิตปัจจุบันอย่างไร? เราสามารถใช้บทเรียนจากอดีตเพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับตัวเราและคนรุ่นต่อไปได้อย่างไร?
อาสาฟ אָסָף (ออกเสียงว่า אָסָף - A-saf)
ความหมายของชื่อ "อาสาฟ" ในภาษาฮีบรูมีความหมายว่า "ผู้รวบรวม" หรือ "ผู้สะสม"
เป็นผู้เขียนสดุดี 73 และสดุดี 77-78 อาสาฟเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ดนตรีและการนมัสการของอิสราเอลในยุคพระคัมภีร์เดิม ข้อมูลเกี่ยวกับเขามีดังนี้:
- หัวหน้านักดนตรี: อาสาฟได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ดาวิดให้เป็นหัวหน้านักดนตรีและนักร้องในพลับพลา (1 พงศาวดาร 15:16-17; 16:4-5) และต่อมาในพระวิหารสมัยกษัตริย์ซาโลมอน (2 พงศาวดาร 5:12) เขาและลูกหลานของเขา (เรียกว่า "บุตรของอาสาฟ") มีบทบาทสำคัญในการนำการนมัสการด้วยดนตรีในพระวิหาร
- ผู้เผยพระวจนะและกวี: นอกเหนือจากบทบาททางดนตรีแล้ว อาสาฟยังได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้เผยพระวจนะ (2 พงศาวดาร 29:30) และบทสดุดีที่เขาเขียนสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในพระเจ้าและประสบการณ์ชีวิตที่ลึกซึ้ง
สดุดี 73: บทสดุดีนี้เผยให้เห็นถึงความสับสนและความท้อแท้ใจของอาสาฟเมื่อเขาเห็นความเจริญรุ่งเรืองของคนอธรรม ในขณะที่ผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้ากลับต้องเผชิญกับความยากลำบาก ข้อคิดสำคัญที่ได้จากสดุดีบทนี้คือ:
- มุมมองฝ่ายวิญญาณ: อาสาฟไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์นี้ได้จนกระทั่งเขาเข้าไปในสถานนมัสการของพระเจ้า ที่นั่นเขาจึงตระหนักถึงจุดจบที่แท้จริงของคนอธรรมและความสำคัญของการมีพระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยและความหวังของเรา สอนให้เรามองชีวิตและปัญหาด้วยมุมมองฝ่ายวิญญาณ
- ความไม่จีรังของความเจริญฝ่ายโลก: ความเจริญรุ่งเรืองและความสุขของคนอธรรมเป็นเพียงชั่วคราวและนำไปสู่ความพินาศ สอนให้เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่ยั่งยืนในพระเจ้ามากกว่าสิ่งฝ่ายโลก
- ความสำคัญของการเข้าใกล้พระเจ้า: แม้ในยามที่เราไม่เข้าใจ พระเจ้ายังคงเป็นกำลังใจและเป็นทรัพย์สมบัติของเรา การเข้าใกล้พระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา
สดุดี 77-78: สดุดีเหล่านี้สะท้อนถึงความทุกข์ใจและความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งของอาสาฟในยามยากลำบาก แต่ในที่สุดเขาก็พบการปลอบประโลมโดยการหวนรำลึกถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในอดีต ข้อคิดสำคัญที่ได้จากสดุดีเหล่านี้คือ:
- การระลึกถึงพระราชกิจของพระเจ้า: ในยามทุกข์ใจ การหวนรำลึกถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำในอดีตสำหรับเราและสำหรับประชากรของพระองค์สามารถนำมาซึ่งความหวังและการปลอบประโลม
- ความสัตย์ซื่อของพระเจ้า: แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนมืดมน พระเจ้ายังคงสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาของพระองค์
- การสอนลูกหลานถึงพระราชกิจของพระเจ้า: สดุดี 78 เน้นความสำคัญของการถ่ายทอดเรื่องราวการกระทำอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าให้กับคนรุ่นหลัง เพื่อให้พวกเขาวางใจในพระเจ้าและดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระองค์
โดยสรุป อาสาฟเป็นผู้นำในการนมัสการและผู้เขียนสดุดีที่สำคัญ ซึ่งบทเพลงของเขาสอนเราถึงการมีมุมมองฝ่ายวิญญาณในยามยากลำบาก การวางใจในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า และการระลึกถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เพื่อเป็นแหล่งของความหวังและกำลังใจ