เรื่องย่อ
เมื่อความมหัศจรรย์ของพระเจ้าถูกเปิดเผยในธรรมชาติ คำสดุดีบทที่ 65 ของดาวิดเริ่มต้นด้วยการเฉลิมฉลองพระคุณและพระเมตตาของพระองค์ที่ประทานพระพรให้แก่โลกอย่างอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่สดุดี 66 เชิญชวนให้ประชาชนทั่วทุกมุมโลกสรรเสริญพระเจ้า โดยระลึกถึงการช่วยกู้และความภักดีในยามยากลำบาก การเรียกร้องให้ทุกคนเข้ามาร่วมยกย่องพระองค์อันเป็นการรวมตัวที่มีพลัง และในสดุดี 67 ดาวิดเน้นถึงความสำคัญของการสรรเสริญพระเจ้าในแง่ของผลประโยชน์ต่อประชาชาติ จะเต็มไปด้วยความสุขจากการนมัสการพระองค์ เพื่อให้ผู้คนได้รับพระพร ในขณะที่สดุดี 69 และ 70 สื่อถึงการดิ้นรนในชีวิตของดาวิดผู้ซึ่งมีความภักดีต่อพระเจ้า เขาขอความช่วยเหลือและพระเมตตาในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แสดงถึงความพยายามในการพึ่งพาพระเจ้าเพื่อความช่วยเหลือและความรอด บทเพลงเหล่านี้ล้วนเป็นการสะท้อนถึงการที่ดาวิดประกาศความถูกต้องและความเชื่อมั่นในพระเจ้าท่ามกลางความท้าทาย สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์
สดุดี 65 ทุกบรรทัดล้วนสะท้อนถึงความละเอียดอ่อนและคุณค่าของความเชื่อและความไว้วางใจในพระเจ้า ข้อ 3 กล่าวถึงความชั่วที่มีชัยเหนือดาวิด ซึ่งเป็นความผิดบาปที่เขาไม่อาจจัดการเองได้ เขารู้ว่าความชั่วของเขายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์คนหนึ่งจะชดเชยได้ แต่เขายังสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงชดใช้บาปเหล่านั้น พระองค์เป็นผู้สร้างและค้ำจุนสิ่งทั้งปวง รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ที่พระองค์ประทานให้ในช่วงเก็บเกี่ยว เช่นเดียวกับการสวมมงกุฎแห่งความอุดมสมบูรณ์ในข้อ 11 ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และพระคุณของพระเจ้าในการจัดเตรียมทุกสิ่งให้กับมนุษย์
ในสดุดี 66 ดาวิดธรรมเนียมการสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงชัยชนะเหนือศัตรูอย่างแรงกล้า เขายกย่องความสามารถของพระเจ้าที่ทรงทดสอบและทำให้เขาผ่านพ้นความทุกข์ยาก แม้ต้องลุยไฟและลุยน้ำ พระเจ้าก็ยังทรงนำเขาไปสู่ที่อุดมสมบูรณ์และความสุขในที่สุด (ข้อ 10–12) ดาวิดไม่ได้โกรธเคืองพระเจ้าในยามทุกข์ เขารู้ว่าการทดสอบเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระประสงค์ เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และเชื่อมั่นในพระเจ้าอย่างมั่นคง เช่นเดียวกับคำกล่าวในข้อ 16 ที่แสดงถึงความเชื่อมั่นในพระกรุณาและพระพันธกิจของพระเจ้า เพราะเขามีความรู้ว่าพระองค์รู้ทุกสิ่งและได้ยินคำอธิษฐานของเขาเสมอ
ส่วนสดุดี 67 เน้นให้เห็นถึงความดีของพระเจ้าที่ทรงเมตตาไม่เลือกปฏิบัติ และพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ทุกประเทศ แม้กระทั่งศัตรูของอิสราเอล พระเจ้ามีความเมตตาและความดีเพียงพอที่จะช่วยเหลือทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ขณะที่ดาวิดในสดุดีบทที่ 69 และ 70 เป็นตัวแทนของประชาชน เขาร้องคร่ำครวญต่อพระเจ้าเกี่ยวกับความทุกข์และความเกลียดชังจากศัตรู ซึ่งเป็นคำพยากรณ์ที่ย้อนถึงพระเยซูในยอห์น 15:25 พระองค์แทนที่จะถวายความยุติธรรมแบบรุนแรง ก็วางใจในพระเจ้าให้ช่วยเหลือและลงโทษผู้ที่ไม่สำนึกผิด โดยเน้นให้เห็นว่าพระเจ้าจะตอบสนองตามตำแหน่งและความจริงใจในใจคน และความเมตตานั้นยังคงอยู่แม้กับผู้กลับใจและสำนึกผิดอย่างแท้จริง
ข้อคิด: สดุดี 65-67; 69-70
“ความสุขย่อมมีแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรและทรงนำมาใกล้เพื่อให้อยู่ในที่พำนักของพระองค์!” (สดุดี 65:4) คุณอาจไม่รู้ว่าคุณได้รับพรมากเพียงใด หากคุณรู้จักพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเลือกและนำคุณมาใกล้พระองค์เอง เราเป็นศัตรูที่อยู่ห่างไกลจากพระองค์ แต่พระองค์ทรงก้มลงและรับเราเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพระองค์ โดยไม่ต้องพยายาม พระองค์เสด็จมาและนำเราเข้ามาใกล้ พร้อมกับใส่พระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเราเป็นหลักประกันความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เพราะพระองค์คือที่ที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีและความสุขแท้จริง
คำถาม
1. การแสดงความขอบคุณและการสรรเสริญพระเจ้าในชีวิตประจำวัน: สดุดี 65-67 และ 69-70 เน้นความสำคัญของการขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระคุณและความเมตตาในชีวิต คำถามคือ เราจะสามารถนำหลักการเหล่านี้ไปใช้ในการสร้างสำนึกในความดีและความซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้าในชีวิตประจำวันอย่างไร เพื่อเสริมสร้างจิตใจที่เปี่ยมด้วยความสุขและความมั่นคง?
2. การวางใจในพระเจ้าท่ามกลางความทุกข์และความยากลำบาก: สดุดี 69-70 เขียนถึงความทุกข์และการวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พร้อมทั้งความเชื่อมั่นในพระคุณของพระองค์ คำถามคือ เราจะสามารถใช้บทเรียนจากสดุดีเหล่านี้เป็นแนวทางในการเผชิญกับความลำบากและความเศร้าโศกในชีวิตปัจจุบันได้อย่างไร เพื่อให้เรายังคงความหวังและแรงใจในการเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง?
สดุดีบทที่ 65 เป็นบทเพลงสรรเสริญที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในฐานะผู้ทรงประทานความอุดมสมบูรณ์และความรอดพ้นแก่ประชากรของพระองค์ บทนี้เต็มไปด้วยข้อคิดและบทเรียนสอนใจมากมาย ดังนี้ครับ:
1. พระเจ้าทรงสมควรได้รับการสรรเสริญ: "ข้าแต่พระเจ้า ในศิโยนคำสรรเสริญรอคอยพระองค์อยู่ และคำปฏิญาณจะสำเร็จแก่พระองค์" (ข้อ 1) สอนให้เราตระหนักว่าพระเจ้าทรงคู่ควรแก่การสรรเสริญและการขอบคุณจากใจจริง
2. การตอบคำอธิษฐาน: "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงสดับคำอธิษฐาน มวลมนุษยชาติจะมาเข้าเฝ้าพระองค์" (ข้อ 2) ให้ความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของเราและทรงพร้อมที่จะตอบ
3. การยอมรับความผิดบาปและการให้อภัย: "เมื่อความผิดบาปท่วมท้นข้าพระองค์ พระองค์ทรงอภัยการละเมิดของข้าพระองค์" (ข้อ 3) เตือนให้เราเข้ามาหาพระเจ้าด้วยใจที่สำนึกผิด และเชื่อมั่นในการให้อภัยของพระองค์
4. พระพรสำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร: "ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรและทรงให้เข้ามาใกล้พระองค์ก็เป็นสุข เพื่อเขาจะอาศัยอยู่ในลานพระนิเวศของพระองค์ เราจะอิ่มเอมด้วยความดีแห่งพระนิเวศของพระองค์ ด้วยพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์" (ข้อ 4) ชี้ให้เห็นถึงพระพรและความสุขของผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและให้เข้ามาใกล้ชิดพระองค์
5. ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในการช่วยกู้: "ด้วยการกระทำอันน่าคร้ามเกรง พระองค์ทรงตอบเราด้วยความชอบธรรม ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้เรา พระองค์ทรงเป็นความหวังของบรรดาที่สุดปลายแผ่นดินโลก และของทะเลที่ไกลโพ้น" (ข้อ 5) ย้ำถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในการช่วยกู้และเป็นความหวังของทุกคน
6. พระเจ้าผู้ทรงสร้างและควบคุมธรรมชาติ: "พระองค์ทรงสถาปนาภูเขาด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์ทรงคาดพระกำลังไว้ พระองค์ทรงระงับเสียงทะเล เสียงคลื่น และเสียงของบรรดาประชาชาติ" (ข้อ 6-7) แสดงให้เห็นถึงอำนาจของพระเจ้าเหนือธรรมชาติและโลกทั้งสิ้น
7. ความยำเกรงต่อการกระทำของพระเจ้า: "บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกก็ยำเกรงต่อหมายสำคัญของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ที่ซึ่งรุ่งอรุณและที่ซึ่งตะวันตกดินโห่ร้องด้วยความชื่นบาน" (ข้อ 8) การเห็นถึงการกระทำอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทำให้เกิดความยำเกรงและสรรเสริญ
8. พระเจ้าผู้ทรงดูแลและประทานความอุดมสมบูรณ์แก่แผ่นดิน: "พระองค์ทรงดูแลแผ่นดินและทรงรดน้ำให้บริบูรณ์ พระองค์ทรงทำให้มันมั่งคั่งอย่างยิ่ง ธารน้ำของพระเจ้าเต็มด้วยน้ำ พระองค์ทรงจัดเตรียมข้าวให้พวกเขา เพราะพระองค์ทรงเตรียมแผ่นดินไว้อย่างนั้น" (ข้อ 9) สอนให้เราตระหนักถึงพระคุณของพระเจ้าในการเลี้ยงดูและประทานความอุดมสมบูรณ์
9. การประทานฝนและความชุ่มชื่น: "พระองค์ทรงรดน้ำตามร่องของมันอย่างชุ่มโชก พระองค์ทรงทำให้ดินราบเรียบ พระองค์ทรงทำให้มันอ่อนนุ่มด้วยสายฝน และทรงอวยพรพืชที่งอกขึ้น" (ข้อ 10) ชี้ให้เห็นถึงการดูแลเอาใจใส่ของพระเจ้าต่อแผ่นดิน
10. การเก็บเกี่ยวผลผลิตและความชื่นชมยินดี: "พระองค์ทรงสวมมงกุฎแห่งความดีแก่ปีนั้น และร่องรอยของพระองค์ก็หยาดเยิ้มด้วยความอุดมสมบูรณ์ ทุ่งหญ้าในถิ่นทุรกันดารก็หยาดเยิ้ม และเนินเขาก็คาดด้วยความชื่นบาน ทุ่งหญ้าปกคลุมด้วยฝูงแกะ และหุบเขาก็ห่มคลุมด้วยข้าว พวกมันโห่ร้องและร้องเพลงด้วยกัน" (ข้อ 11-13) แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ของพระพรของพระเจ้าที่นำมาซึ่งความชื่นชมยินดี
สดุดีบทที่ 65 หนุนใจให้เรามองเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งในการตอบคำอธิษฐาน การให้อภัยบาป การดูแลธรรมชาติ และการประทานความอุดมสมบูรณ์ เพื่อที่เราจะถวายเกียรติและสรรเสริญพระองค์ด้วยใจจริงครับ