เรื่องย่อ
เรื่องราวความอยู่รอดของดาวิดเริ่มต้นด้วยการหลบหนีจากกษัตริย์ซาอูลผู้ทรงอำนาจ ดาวิดไปที่โนบเพื่อขอความช่วยเหลือจากอาหิเมเลคปุโรหิต และได้รับขนมปังศักดิ์สิทธิ์และดาบของโกลิอัท จากนั้นดาวิดหนีไปหากษัตริย์อาคีชแห่งเมืองกัท แต่ด้วยความกลัวจึงแสร้งทำเป็นคนบ้าเพื่อเอาชีวิตรอด ต่อมาดาวิดรวบรวมผู้ติดตามและกลายเป็นผู้นำของพวกเขา เขาช่วยเมืองเคอีลาห์ให้พ้นจากชาวฟีลิสเตีย แต่ต้องหลบหนีอีกครั้งเมื่อซาอูลตามล่าเขาอย่างไม่ลดละ ในถิ่นทุรกันดารแห่งศิฟ ดาวิดได้รับการช่วยเหลือจากโยนาธานผู้เป็นเพื่อนรัก และให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อกัน ซาอูลยังคงตามล่าดาวิดอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งดาวิดมีโอกาสที่จะสังหารซาอูลได้ แต่เขาเลือกที่จะไว้ชีวิตกษัตริย์ผู้เจิมตั้งของพระเจ้า
ในระหว่างที่หลบหนี ดาวิดไปที่เมืองโนบเพื่อขออาหารและอาวุธ ได้พบกับอาหิเมเลคปุโรหิต ซึ่งดูมีพิรุธ ดาวิดจึงโกหกเพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากการโกหกของราฮับที่ปกป้องสายลับ แต่คล้ายกับการโกหกของอับราฮัมที่กล่าวว่าซาราห์เป็นน้องสาวของเขา การกระทำของดาวิดแสดงให้เห็นถึงการไม่เชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าที่จะแต่งตั้งเขาให้เป็นกษัตริย์ อีกทั้งเขายังฝ่าฝืนกฎโดยการกินขนมปังศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าอาหิเมเลคจะอนุญาตให้ทำเช่นนั้น พระเยซูเคยอ้างถึงเรื่องนี้เพื่อสอนถึงความสำคัญของคุณค่าของความเมตตาเหนือกฎระเบียบ
ในขณะนั้น โดเอกชาวเอโดมอยู่ที่โนบและสังเกตทุกอย่าง เขาสังเกตเห็นดาวิดหยิบดาบของโกลิอัทและออกเดินทางไปยังเมืองกัท ซึ่งเป็นดินแดนของศัตรูเพื่อหลบหนีจากซาอูล แต่ดาวิดกลับถูกสงสัย ทำให้เขาต้องแกล้งทำบ้าเพื่อกลับไปยังยูดาห์ หลังจากนั้นเขาหลบอยู่ในถ้ำและรวบรวมกลุ่มผู้ติดตามที่มีความลำบาก ในที่สุด ดาวิดก็นำพ่อแม่ไปยังโมอับซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นศัตรูกับอิสราเอล แต่ดาวิดมีรากเหง้าในดินแดนนั้น
ในเวลาเดียวกัน ซาอูลเริ่มสงสัยในความซื่อสัตย์ของผู้ใต้บังคับบัญชา สั่งให้เรียกอาหิเมเลคและปุโรหิตมาเผชิญหน้าและสั่งให้โดเอกฆ่าพวกเขาทั้งหมด เหตุการณ์นี้ทำให้ปุโรหิต 85 คนต้องเสียชีวิต แต่มีอาบียาธาร์ ลูกชายของอาหิเมเลคที่หนีรอดและมาร่วมกับดาวิด ดาวิดให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเขา ส่วนซาอูลก็ยังคงตามล่าดาวิด แต่พระเจ้าทรงทำให้ซาอูลต้องหยุดชะงัก เมื่อดาวิดไปยังที่มั่นแห่งเอนเกดี ซาอูลได้เข้ามาในถ้ำที่ดาวิดซ่อนตัวอยู่ ดาวิดได้ตัดชายฉลองพระองค์แต่ก็รู้สึกผิดเพราะยำเกรงต่อพระเจ้า เลือกที่จะเก็บความเคารพต่อซาอูลไว้ แม้จะไม่เห็นด้วยกับการปกครองของเขา แสดงให้เห็นถึงความเชื่อในอำนาจสูงสุดของพระเจ้าที่จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงในเวลาที่เหมาะสม.
ข้อคิด: 1 ซามูเอล 21-24
จากการจู่โจมอย่างกะทันหันของพวกฟีลิสเตียที่ดึงซาอูลออกไปในนาทีสุดท้าย ไปจนถึงความจำเป็นที่ซาอูลต้องปลดทุกข์เมื่อเขาเข้าใกล้ถ้ำที่ดาวิดซ่อนตัวอยู่ ทุกอย่างที่เราเห็นในวันนี้ล้วนมีจังหวะเวลาที่สมบูรณ์แบบจนแทบจะอ่านได้ว่าเป็นท่าเต้นเลยทีเดียว พระเจ้าเชื้อเชิญเราให้ร่วมเต้นรำกับพระองค์ โดยที่พระองค์จะทรงนำลูกๆ ของพระองค์ และทรงจัดเตรียมหนทางที่จะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จลุล่วง ไม่ว่าศัตรูจะคิดจะโจมตีอย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงนำเราอย่างยอดเยี่ยม และพระองค์อยู่ที่ซึ่งความชื่นบานอยู่!
คำถาม
1. การนำทางทางจิตใจในช่วงเวลาวิกฤติ: ในบทที่ 21-22 ดาวิดประสบความลำบากและต้องหาทางเอาชีวิตรอด ในช่วงเวลาที่ชีวิตพบกับความท้าทาย เราสามารถหาทางนำทางจิตใจและอารมณ์ของเราได้อย่างไร? การวางแผนและการทำงานร่วมกันในกลุ่มสามารถเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากได้อย่างไร?
2. การให้อภัยและการแสดงเมตตาต่อศัตรู: ในบทที่ 24 ดาวิดมีโอกาสที่จะลงโทษซาอูล แต่กลับเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น คุณคิดว่า การให้อภัยและเมตตาต่อผู้ที่เคยทำร้ายเราเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างไรในชีวิตประจำวัน? การเลือกที่จะให้อภัยสามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์และบรรยากาศรอบตัวเราได้อย่างไร?
ปุโรหิตอาหิเมเลคกับการช่วยเหลือดาวิด
เรื่องราวใน 1 ซามูเอล 22 เป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าและสะเทือนใจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการกระทำของดาวิดและความโหดร้ายของกษัตริย์ซาอูล รวมถึงความซื่อสัตย์และความเสียสละของปุโรหิตอาหิเมเลค แม้ว่าอาหิเมเลคจะไม่ได้ปรากฏตัวโดยตรงในบทที่ 22 แต่การกระทำของเขาในบทที่ 21 นำไปสู่เหตุการณ์อันน่าสลดใจในบทนี้
ข้อคิดและบทเรียนสอนใจที่ได้จากเหตุการณ์นี้:
1. ผลกระทบจากการตัดสินใจของเรา: การที่ดาวิดตัดสินใจโกหกอาหิเมเลคใน 1 ซามูเอล 21 เพื่อปกป้องตนเอง นำไปสู่ความหายนะครั้งใหญ่ต่ออาหิเมเลคและปุโรหิตคนอื่นๆ ในเมืองโนบ เหตุการณ์นี้สอนให้เราตระหนักว่าการตัดสินใจของเรา แม้จะมีเจตนาดีในตอนแรก ก็อาจส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อผู้อื่นได้
2. ความสำคัญของความซื่อสัตย์และความจริง: การโกหกของดาวิดทำให้อาหิเมเลคตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายและไม่สามารถปกป้องตนเองได้ หากดาวิดพูดความจริง อาหิเมเลคอาจจะระมัดระวังตัวมากขึ้น หรืออาจมีทางออกอื่นที่ไม่นำไปสู่การเสียชีวิตของปุโรหิตจำนวนมาก เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์และความจริง แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
3. ความโหดร้ายและความวิกลจริตของอำนาจที่ไม่ชอบธรรม: การกระทำของกษัตริย์ซาอูลในการสังหารปุโรหิตถึง 85 คน เพียงเพราะสงสัยว่าพวกเขาให้ความช่วยเหลือดาวิด แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและความวิกลจริตของผู้นำที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด ความหวาดระแวงและความโกรธของซาอูลทำให้เขาตัดสินใจอย่างไม่ยุติธรรมและไร้มนุษยธรรม
4. ความเสียสละและความกล้าหาญในการช่วยเหลือผู้อื่น: แม้ว่าอาหิเมเลคอาจจะไม่ได้รู้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของดาวิด แต่เขาก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้วยความเมตตาและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การกระทำของเขา แม้จะนำมาซึ่งความตาย แต่ก็เป็นตัวอย่างของความกล้าหาญในการทำสิ่งที่ถูกต้องและช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก
5. ความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง: เมื่อดาวิดทราบถึงการเสียชีวิตของปุโรหิต เขาได้สำนึกผิดและแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังที่กล่าวไว้ใน 1 ซามูเอล 22:22 "ดาวิดจึงกล่าวแก่อาบียาธาร์ว่า 'ในวันนั้นเมื่อโดเอกชาวเอโดมอยู่ที่นั่น ข้าพเจ้ารู้ว่าเขาจะทูลซาอูลแน่ ข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุแห่งการตายของทุกคนในครอบครัวของท่าน'" การสำนึกผิดและการยอมรับความผิดพลาดเป็นสิ่งสำคัญในการเติบโตทางจิตวิญญาณ
6. พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง: แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะดูเหมือนเป็นการสูญเสียและความอยุติธรรม แต่พระเจ้าทรงทราบถึงทุกสิ่งและทรงมีแผนการของพระองค์เอง การรอดชีวิตของอาบียาธาร์ บุตรชายของอาหิเมเลค และการที่เขาได้ไปอยู่กับดาวิด ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระเจ้าในอนาคต
7. การเป็นที่พักพิงและให้ความคุ้มครอง: ดาวิดให้ที่พักพิงและความคุ้มครองแก่อาบียาธาร์ผู้รอดชีวิต ซึ่งหนีมาจากความโกรธของซาอูล นี่เป็นบทเรียนเกี่ยวกับการเป็นที่พักพิงและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่กำลังเดือดร้อนและไม่มีที่พึ่ง
เรื่องราวของอาหิเมเลคและการช่วยเหลือดาวิดใน 1 ซามูเอล 22 สอนให้เราตระหนักถึงผลกระทบของการตัดสินใจ ความสำคัญของความซื่อสัตย์ ความโหดร้ายของอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ความกล้าหาญในการช่วยเหลือผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงทราบและควบคุมทุกสิ่ง แม้ในสถานการณ์ที่มืดมิดที่สุด