เรื่องย่อ
ท่ามกลางความกังวลและความทุกข์ยาก คำสดุดี 121 เป็นแรงบันดาลใจที่ส่งเสริมความมั่นใจในความช่วยเหลือจากพระเจ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้เขียนประกาศว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองและนำทางในทุกย่างก้าว ช่วยเสริมกำลังให้ผู้อ่อนแอในทุกสถานการณ์ ส่วนสดุดี 123-125 สื่อความรู้สึกของประชากรที่มองไปยังพระเจ้าในฐานะที่เป็นผู้ช่วยให้รอดในเวลาที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากศัตรู และเรียกร้องให้พระเจ้าประทานความเมตตาและความยุติธรรมแก่พวกเขา ในขณะที่สดุดี 128-130 กล่าวถึงความสำคัญของการเคารพพระวจนะของพระเจ้าและผลของการเดินตามปกติธรรมที่ทรงตั้งไว้ โดยระบุว่าพระวจนะของพระเจ้าทำให้มีความรู้และปัญญาในชีวิต นับเป็นการสะท้อนถึงการแสวงหาความช่วยเหลือ สันติภาพ และความมุ่งมั่นในการดำเนินชีวิตตามพระองค์ที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกมั่นคงในความเชื่อของตนเอง
สดุดีทั้งเจ็ดบทนี้อยู่ในบทที่สิบห้าที่เรียกว่าบทเพลงแห่งการขึ้นสู่ที่สูง เพื่อทำความเข้าใจจุดประสงค์ของบทเพลงเหล่านี้ เราต้องมองภาพภูมิประเทศของอิสราเอลเสียก่อน เยรูซาเล็มจะเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลในที่สุด โดยทำหน้าที่เป็นสำนักงานใหญ่ของพลับพลาและวิหาร เยรูซาเล็มตั้งอยู่บนที่สูง ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมาจากที่ใด คุณต้องขึ้นไปที่เยรูซาเล็ม—บทสดุดีเหล่านี้มักถูกขับร้องระหว่างการเดินทาง ซึ่งแสดงถึงความศรัทธาและความเชื่อมั่นในพระเจ้าที่ปกป้องพวกเขาตลอดเส้นทาง ตัวอย่างเช่น สดุดีบทที่ 121 แสดงความมั่นใจว่าพระองค์จะคอยดูแลและปกป้องแม้ในยามที่พวกเขาหลับใหล นอกจากนี้ สดุดีบทอื่น ๆ ยังสะท้อนถึงการขอความเมตตาและการปกป้องจากพระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ยาก ความท้าทายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้แสวงบุญทั่วไปต้องเผชิญในระหว่างการเดินทาง
สดุดีบทที่ 123 และ 124 กล่าวถึงความเมตตาและการปกป้องของพระเจ้าในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก เมื่อชนอิสราเอลต้องเผชิญหน้ากับศัตรูและความท้าทายต่าง ๆ บทสดุดีช่วยย้ำเตือนใจให้นึกถึงการพึ่งพาพระเจ้าเป็นสำคัญ เพราะพระองค์คือผู้ที่จะนำพวกเขาผ่านช่วงเวลายากลำบากเหล่านี้เสมอ สดุดี 125 แจ้งถึงพรสำหรับผู้ที่ไว้วางใจในพระเจ้า โดยพระเจ้าจะคุ้มครองพวกเขา เช่น ภูเขาไซอันที่สูงที่สุดในเยรูซาเล็มซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องและมั่นคง
สดุดีบทที่ 128 และต่อเนื่องไปยังบทที่ 130 ย้ำถึงพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอล ซึ่งสัญญาถึงความอุดมสมบูรณ์และความสุข หากพวกเขารักษาพันธสัญญานี้ นอกจากนี้ สดุดี 129 และ 130 ยังเน้นย้ำพรสูงสุดซึ่งคือความสงบสุขระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการให้อภัยและการไถ่บาป ข้อควรระวังในการอ่านบทเหล่านี้คือการทำความเข้าใจตามบริบทดั้งเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและพันธสัญญาที่เจาะจงนั้น
ข้อคิด: สดุดี 121; 123-125; 128-130
“ด้วยพระองค์มีการอภัยโทษ เพื่อว่าพระองค์จะได้เป็นที่ยำเกรง” (130:4) ความกลัวพระเจ้าประกอบด้วยความยินดีและความเกรงขามเป็นหลัก หากไม่เป็นความจริง สองส่วนของข้อนี้จะไม่สอดคล้องกัน มันจะต้องพูดว่า “เรารู้ว่าพระองค์จะลงมาลงโทษเราอย่างหนัก เพื่อว่าพระองค์จะได้เป็นที่ยำเกรง” หรือ “ด้วยพระองค์มีการอภัยโทษ ดังนั้นเราถูกดึงดูดเข้าหาพระองค์” ในทางกลับกัน เราเห็นว่าการให้อภัยบาปของพระเจ้าทำให้เราเคารพ เกรงขาม และความยินดี—มันดึงดูดเราเข้าหาพระองค์! นั่นคือลักษณะของความกลัวพระเจ้า ไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตในความชั่วร้ายและการกบฏอย่างไร เราก็สามารถมาหาพระองค์เพื่อขอการอภัยโทษ โดยรู้ว่าเราได้รับการอภัยโทษและการไถ่บาปเพราะพระคริสต์ทรงชดใช้บาปของเราบนไม้กางเขนอย่างครบถ้วน ความกลัวพระเจ้าทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นทุกประการ—ดังนั้นเราจึงชื่นชมยินดีในเทศกาลอีสเตอร์ เพราะพระองค์คือที่ที่ความชื่นชมยินดีอยู่!
คำถาม
1. ความเชื่อในการดูแลของพระเจ้า: ในสดุดีบทที่ 121 กล่าวถึงการที่พระเจ้าจะรักษาเราในทุกหนทุกแห่ง คุณคิดว่าความเชื่อในพระเจ้าเกี่ยวกับการดูแลเราในชีวิตประจำวันนั้นมีผลต่อวิธีที่เราจัดการกับความเครียดและอุปสรรคอย่างไร? วิธีการที่เราสามารถสร้างความมั่นใจในพระเจ้าในช่วงเวลาที่มีความท้าทายหรือไม่แน่นอนสามารถทำได้อย่างไร?
2. การดำเนินชีวิตด้วยความสัตย์ซื่อ: ในสดุดีบทที่ 128-130 บรรยายถึงความสำคัญของการดำรงชีวิตด้วยความสัตย์ซื่อและการอยู่ในพระพรของพระเจ้า คุณคิดว่าการมีชีวิตอย่างสัตย์ซื่อส่งผลต่อความสัมพันธ์ของเราในสังคมและกับคนรอบข้างอย่างไร? ในบริบทปัจจุบัน เราสามารถสร้างวัฒนธรรมของความสัตย์ซื่อในชุมชนของเราได้อย่างไรและทำไมมันถึงสำคัญ?
ความยำเกรงพระเจ้า
บ่อยครั้งเราถูกสอนให้ต้องยำเกรงพระเจ้า ความยำเกรงพระเจ้าไม่ได้หมายถึงความหวาดกลัว แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความยินดีและความเกรงขาม ซึ่งเกิดจากการตระหนักถึงความบริสุทธิ์ ความยิ่งใหญ่ และความเมตตาของพระองค์
เราได้เรียนรู้อะไรจากการยำเกรงพระเจ้า:
1. การอภัยโทษนำไปสู่การยำเกรง: ข้อนี้ชี้ให้เห็นว่าการอภัยโทษของพระเจ้าเป็นรากฐานสำคัญของการยำเกรงพระองค์ เมื่อเราตระหนักถึงความผิดบาปของเราและความเมตตาของพระเจ้าที่ทรงให้อภัย เราจึงเกิดความเคารพยำเกรงในความยุติธรรมและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ การที่พระองค์ทรงพร้อมที่จะให้อภัยทั้งที่เราไม่สมควรได้รับ ทำให้เราตระหนักถึงความพิเศษและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
2. ความยำเกรงไม่ใช่ความกลัวแบบทาส: ความกลัวแบบทาสคือความกลัวต่อการถูกลงโทษ แต่ความยำเกรงพระเจ้าเป็นความเคารพและความเกรงขามที่เกิดจากความรักและความซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์ เรายำเกรงพระองค์เพราะเรารักและเทิดทูนพระองค์ ไม่ใช่เพราะกลัวการถูกลงโทษเพียงอย่างเดียว
3. ความยำเกรงนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า: เมื่อเรายำเกรงพระเจ้า เราจะปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ เราจะระมัดระวังในการกระทำ คำพูด และความคิดของเรา เพราะเราตระหนักว่าเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้บริสุทธิ์และทรงฤทธิ์
4. ความยำเกรงเป็นบ่อเกิดของปัญญาและพระพร: พระธรรมสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา” (สุภาษิต 9:10) การยำเกรงพระเจ้าทำให้เราเปิดใจรับการสอนและการนำทางจากพระองค์ และนำมาซึ่งพระพรมากมายในชีวิตของเรา
เราจะยำเกรงพระเจ้าได้อย่างไร:
1. ศึกษาพระวจนะของพระเจ้า: การอ่านและศึกษาพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราเข้าใจถึงพระลักษณะของพระเจ้า ความรัก ความยุติธรรม และพระปัญญาของพระองค์ เมื่อเราเข้าใจพระองค์มากขึ้น เราก็จะยิ่งเคารพและยำเกรงพระองค์มากขึ้น
2. อธิษฐาน: การอธิษฐานเป็นการสื่อสารกับพระเจ้า เป็นการแสดงความเคารพและความไว้วางใจในพระองค์ การอธิษฐานด้วยใจที่ถ่อมจะช่วยให้เราใกล้ชิดกับพระองค์และตระหนักถึงการทรงสถิตของพระองค์
3. ใคร่ครวญถึงพระคุณของพระเจ้า: การใคร่ครวญถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อไถ่บาปเรา จะทำให้เราซาบซึ้งในความรักและพระคุณของพระองค์มากยิ่งขึ้น และนำไปสู่ความยำเกรงที่ลึกซึ้ง
4. เชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า: การเชื่อฟังพระคำของพระเจ้าเป็นการแสดงออกถึงความรักและความเคารพที่เรามีต่อพระองค์ เมื่อเราตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระองค์ เราก็จะเติบโตขึ้นในความยำเกรงพระเจ้า
5. สามัคคีธรรมกับผู้เชื่อคนอื่นๆ: การร่วมกันนมัสการ ศึกษาพระคำ และหนุนใจซึ่งกันและกันกับผู้เชื่อคนอื่นๆ จะช่วยเสริมสร้างความยำเกรงพระเจ้าในชีวิตของเรา
6. ดำเนินชีวิตด้วยความตระหนักถึงการทรงสถิตของพระเจ้า: การระลึกอยู่เสมอว่าเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงเห็นทุกสิ่งที่เราทำ คิด และพูด จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังและความเคารพ
การยำเกรงพระเจ้าเป็นมากกว่าความกลัว แต่เป็นความเคารพรักที่เกิดจากการตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์ และความเมตตาของพระองค์ การที่เราได้รับการอภัยโทษจากพระองค์เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เรายำเกรงพระองค์ และการดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงนี้จะนำมาซึ่งปัญญา พระพร และความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าครับ