เรื่องย่อ
เมื่อเสียงเพลงแห่งการสรรเสริญดังขึ้นในสดุดี 106 ความจงรักภักดีของพระเจ้าถูกยกย่องในขณะที่ประชากรอิสราเอลได้รับการเตือนถึงการกบฎและการไม่เชื่อฟังของพวกเขาที่เกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์ แม้จะมีความผิดพลาดและการละเลยหลายครั้ง พระเจ้าก็ยังมีความเมตตาและให้อภัย นำพาพวกเขากลับคืนสู่พระองค์ในยามที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ และในสดุดี 107 ประสบการณ์เหล่านี้ถูกสืบต่อเป็นคำพยานเกี่ยวกับความอยู่รอดของประชากรผ่านความยากลำบากทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในทะเลทรายหรือการตกอยู่ในอันตราย ความเป็นปึกแผ่นของประชาชนยืนยันว่าพวกเขายังคงแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้าในทุกสถานการณ์และได้รับการตอบสนองในที่สุด บทเพลงเหล่านี้ทั้งสองจึงเป็นการย้ำเตือนสำคัญถึงความสำคัญของการสรรเสริญ พระอำนาจ และความรักที่ไม่รู้จบของพระเจ้าในชีวิตของผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ ทำให้เกิดความหวังและแรงบันดาลใจในยามวิกฤติ
ในบทสดุดี 106 ผู้เขียนพรรณนาถึงประวัติศาสตร์ที่ชาวอิสราเอลได้กระทำการบาปและการไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาจะมีวัฏจักรของการกบฏและความไม่เชื่อ พระเจ้ายังคงไม่ละทิ้งพวกเขา เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรักที่มั่นคง พระองค์ทรงช่วยพวกเขาด้วยความรักและเห็นแก่พระนามของพระองค์เอง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีความสำคัญ และไม่ได้ขัดแย้งกัน ด้วยเหตุนี้ เมื่อนึกถึงความรักและพระเดชานุภาพของพระเจ้า ทำให้เราตระหนักถึงสิ่งที่โมเสสได้ทำในฐานะผู้ที่ยืนหนุนในช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงกริ้ว ซึ่งสะท้อนถึงการอภัยบาปและการคืนดีกัน
หลังจากนั้น เมื่อชาวอิสราเอลเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา พวกเขายังคงตกอยู่ในรูปแบบเดิมโดยนับถือรูปเคารพและลืมเลือนความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระองค์ทรงเตือนสติพวกเขาผ่านความยากลำบากในการถูกกดขี่จากศัตรู อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ พระเจ้าทรงตอบสนองและช่วยพวกเขาอีกครั้ง ซึ่งแสดงถึงการที่พระองค์ทรงรักษาพันธสัญญาแม้ว่ามนุษย์จะผิดสัญญา ความรักและการให้อภัยที่ต่อเนื่องนี้ยังคงเป็นแรงบันดาลใจในการกลับใจใหม่
ในบทสดุดี 107 ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชนได้รับการเผยแพร่ผ่านการรับรู้ถึงการช่วยเหลือและการเห็นคุณกันและกัน ด้วยการนำเสนอเรื่องราวของคนสี่ประเภทที่มีปัญหาแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่หลงทาง นักโทษที่กบฏ นักโทษที่ล้มเหลว หรือผู้ถือการเดินเรือที่ประสบกับพายุ ทุกคนต่างมีประสบการณ์คล้ายคลึงกันในการร้องขอต่อพระเจ้าและการรับพระกรุณา จากนั้นผู้เขียนสดุดีเรียกร้องให้แต่ละคนรับรู้และสรรเสริญพระเจ้าสำหรับความรักไม่สิ้นสุดและความช่วยเหลือที่ได้รับ ซึ่งเป็นเสียงกล่อมของความสามัคคีที่แท้จริงในชุมชนอิสราเอล
ข้อคิด: สดุดี 106-107
สดุดี 106:7 กล่าวว่า “บรรพบุรุษของเราเมื่ออยู่ในอียิปต์ มิได้ระลึกถึงการอัศจรรย์ของพระองค์ พวกเขาไม่ระลึกถึงความรักมั่นคงอันล้นเหลือของพระองค์ แต่ได้กบฏต่อทะเลที่ทะเลแดง” สิ่งสำคัญคือต้องจดจำการงานของพระเจ้าและความรักที่พระองค์มีต่อเรา—นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เรายึดมั่นในพระองค์และเชื่อฟังพระองค์ พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า “จงจำธรรมบัญญัติไว้” แต่ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “จงจำไว้ว่าพระองค์ทรงรักเรา” การลืมไปว่าพระเจ้าทรงรักเราทำให้มีช่องว่างในใจเราที่บาปและการกบฏแอบแฝงเข้ามา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการอ่านพระวจนะของพระองค์ทุกวันและมองหาพระองค์ในหน้าเหล่านี้จึงเป็นวิธีที่จะปรับเปลี่ยนใจและชีวิตของเรา การอ่านครั้งนี้จะรู้สึกซ้ำซากหรือไม่? ใช่ คุณจะเห็นสิ่งเดียวกันเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นครั้งคราวหรือไม่? แน่นอน แต่เรายังจำเป็นต้องได้ยินพระกิตติคุณทุกวันหรือไม่? แน่นอน เพราะเราเห็นว่าใจมนุษย์จะหลงห่างจากพระเจ้าที่เรารักได้เร็วเพียงใดเมื่อเราไม่ระลึกถึงพระองค์อย่างจริงจัง พระองค์รักคุณ แม้ว่าคุณจะรักพระองค์หรือไม่ก็ตาม เพราะพระองค์คือที่ที่ความปีติยินดีอยู่!
คำถาม
1. การเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต: สดุดีบทที่ 106 กล่าวถึงความไม่เชื่อฟังและการกลับใจของประชากรอิสราเอล คุณคิดว่าเราสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตได้อย่างไร? แนวทางใดที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาตนเองจากประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีตเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำซาก?
2. การเสริมสร้างความเชื่อในช่วงเวลาที่ยากลำบาก: ในสดุดีบทที่ 107 มีการพูดถึงความช่วยเหลือของพระเจ้าที่มาช่วยเหลือในความทุกข์ คุณคิดว่าในชีวิตประจำวันที่เราเผชิญกับความท้าทาย เราสามารถมีความเชื่อและความหวังได้อย่างไร? การใช้เวลาระลึกถึงการช่วยเหลือที่เราได้รับสามารถมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเราได้อย่างไร?
สดุดีบทที่ 107 เป็นบทเพลงที่เต็มไปด้วยข้อคิดและหลักการที่สอนใจเราหลายประการเลยครับ ลองพิจารณาไปพร้อมๆ กันนะครับ:
1. การขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความช่วยเหลือและการปลดปล่อย: บทนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการช่วยเหลือที่เราได้รับในยามยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นการหลุดพ้นจากความอดอยาก การถูกจองจำ การเจ็บป่วย หรือพายุในทะเล หลักการนี้สอนให้เราตระหนักถึงพระคุณของพระเจ้าในทุกสถานการณ์และตอบสนองด้วยใจที่ขอบพระคุณ
2. พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและทรงเมตตา: เรื่องราวของผู้คนที่เผชิญความทุกข์ยากต่างๆ ในบทนี้แสดงให้เห็นถึงความสัตย์ซื่อและความเมตตาของพระเจ้า เมื่อพวกเขาร้องทูลต่อพระองค์ พระองค์ทรงสดับฟังและทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วยเหลือ หลักการนี้สอนให้เราวางใจในพระเจ้า แม้ในเวลาที่มืดมนที่สุด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พึ่งพาได้เสมอ
3. การร้องทูลต่อพระเจ้าในยามทุกข์ยาก: บทสดุดีนี้เป็นตัวอย่างของการร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยความจริงใจเมื่อเผชิญกับปัญหาต่างๆ การที่ผู้คนในบทนี้หันเข้าหาพระเจ้าในความทุกข์ยากและได้รับการช่วยเหลือเป็นแบบอย่างให้เราเรียนรู้ที่จะนำภาระและความกังวลของเรามาทูลต่อพระองค์ด้วยความเชื่อมั่น
4. การตระหนักถึงความอ่อนแอของมนุษย์: ประสบการณ์ต่างๆ ที่กล่าวถึงในบทนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำกัดและความอ่อนแอของมนุษย์ เราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตนเอง และบ่อยครั้งที่เราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เกินกำลังของเรา หลักการนี้สอนให้เราถ่อมใจและพึ่งพาฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
5. การสรรเสริญพระเจ้าในที่ชุมนุม: บทนี้เรียกร้องให้ผู้ที่ได้รับการปลดปล่อยสรรเสริญพระเจ้าในที่ชุมนุมชน ("ให้เขาทั้งหลายโมทนาพระยาห์เวห์เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ และเพราะพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรทั้งหลายของมนุษย์ ให้เขาทั้งหลายยกย่องพระองค์ในที่ชุมนุมชน และสรรเสริญพระองค์ในที่นั่งของพวกผู้ใหญ่") หลักการนี้สอนถึงความสำคัญของการร่วมกันสรรเสริญและเป็นพยานถึงพระคุณของพระเจ้า
6. การเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น: เรื่องราวต่างๆ ในบทสดุดีนี้เป็นเหมือนบทเรียนที่สอนให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติของความทุกข์ยากและการช่วยเหลือของพระเจ้า การใคร่ครวญถึงประสบการณ์เหล่านี้สามารถเสริมสร้างความเชื่อและความไว้วางใจของเราในพระองค์
7. การพิจารณาพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระเจ้า: บทนี้ชวนให้เราพิจารณาถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์ของพระเจ้าในการสร้างและดูแลโลก รวมถึงการช่วยเหลือมนุษย์ หลักการนี้กระตุ้นให้เราสังเกตและตระหนักถึงการทรงแทรกแซงของพระเจ้าในชีวิตของเราและในโลก
โดยรวมแล้ว สดุดีบทที่ 107 สอนให้เรามีใจที่ขอบพระคุณ พึ่งพาพระเจ้าในทุกสถานการณ์ ร้องทูลต่อพระองค์ในยามยากลำบาก ตระหนักถึงความอ่อนแอของตนเอง ร่วมกันสรรเสริญพระเจ้า และเรียนรู้จากพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์ครับ