Thai Mission Reading Plan 2025

อ่านพระคัมภีร์ให้สนุกและเกิดผลในหนึ่งปี มีข้อคิดที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ทุกตอน


Started on: Jan. 1, 2025

ร่วมกลุ่มอ่านพระคัมภีร์ในแผนนี้

อ่านพระคัมภีร์ | READ SCRIPTURES

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 89

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 96

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 100

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 101

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 105

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 132

เรื่องย่อ

เมื่อคำสัญญาของพระเจ้าถูกตั้งอยู่แน่นหนาในใจของประชากร คำสดุดีบทที่ 89 เปิดเผยถึงการยืนยันถึงพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อดาวิดและราชวงศ์ของเขา แต่ก็ไม่พลาดที่จะแสดงความรู้สึกของผู้เขียนเมื่อเผชิญกับความท้าทายและการดูถูกจากศัตรู ในสดุดี 96 เราเห็นการเรียกร้องให้มีการสรรเสริญพระเจ้าอย่างยิ่งใหญ่ และบอกให้ประชาชาติตระหนักถึงสิ่งมหัศจรรย์ของพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลก ในสดุดี 100-101 มีความชัดเจนถึงการทำให้พระวิหารเป็นที่นมัสการและการสรรเสริญอย่างมีระเบียบ ในขณะที่สดุดี 105 ย้อนกลับไปสู่การช่วยเหลือของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอลในอดีต ทำให้ผู้คนระลึกถึงพระคุณและพระการนำของพระองค์ ในที่สุด สดุดี 132 ยกย่องความสัญญาที่พระเจ้าทรงให้แก่ดาวิด ว่าจะมีตำนานของเขาที่คงอยู่เหนืออิสราเอล บทเพลงเหล่านี้ทั้งหมดล้วนมีการนิยามความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างพระเจ้ากับประชากรอิสราเอล รวมถึงการกระตุ้นให้มีการสรรเสริญและจำพระคุณของพระเจ้าในทุกช่วงเวลาของชีวิต

 

สดุดี 89 มีความสับสนอยู่บ้างในบางส่วน เช่น ข้อ 10 ที่กล่าวว่าพระเจ้า “บดขยี้ราหับเหมือนซากสัตว์” ซึ่งไม่ได้หมายถึงราหับคือชาวคานาอัน แต่หมายถึงอียิปต์ คำกล่าวนี้แสดงถึงชัยชนะของพระเจ้าที่ทรงครอบครองเหนือมหาอำนาจโลกและความยุ่งเหยิงต่างๆ ส่วนที่ทำให้เกิดความสับสนอีกเป็นข้อ 27 เมื่อดาวิดถูกเรียกว่า “บุตรหัวปี” ซึ่งเป็นคำเดียวกันกับที่พระเยซูถูกเรียก นั่นแปลว่าพระเยซูเป็นบุตรหัวปีเหนือสิ่งสร้างทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงอภิสิทธิ์และยิ่งใหญ่กว่าบุตรหัวปีในบริบทต่างๆ ทั้งนี้ สดุดีบทนี้ยังมีองค์ประกอบเชิงพยากรณ์หลายชั้น จึงสามารถหมายถึงเหตุการณ์ในยุคปัจจุบันและสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เกี่ยวข้องได้ในเวลาเดียวกัน

นอกจากนี้ ในข้อ 38–45 พระเจ้าถูกกล่าวหาว่าละทิ้งอิสราเอล แต่หากย้อนกลับไปดูข้อ 30–32 จะพบว่าเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้ากำลังฝึกสอนและปรับปรุงพวกเขา ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลงโทษเพราะกบฏ เมื่อช่วงเวลานั้นผ่านไป พระเจ้าจะยังคงสัตย์ซื่อและจะแสดงความเมตตาอย่างไม่มีเงื่อนไข ดนตรีและบทสรรเสริญในสดุดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ ซึ่งสดุดีบทนี้จึงเป็นทั้งการเตือนใจและการสรรเสริญความดีงามของพระเจ้า

ขณะเดียวกัน สดุดี 96 ก็คล้ายกับบทเพลงสรรเสริญใน 1 พงศาวดาร 16 เมื่อพวกเขานำหีบพันธสัญญามายังเยรูซาเล็ม และข้อ 5 กล่าวว่า “พระของชนชาติทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นเทวรูปไร้ค่า” ซึ่งในภาษาเขียนภาษาฮีบรูมีการเล่นคำตลกว่า “สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง!” ข้อความเหล่านี้เน้นให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์และความดีของพระองค์เปรียบเสมือนคำเชิญชวนให้เราระลึกถึงความเป็นเจ้าของและความสัมพันธ์ของเราในฐานะประชากรและแกะของพระองค์ นอกจากนี้ สดุดี 100 ก็ให้ข้อคิดเกี่ยวกับความดีและความเมตตาของพระเจ้า ซึ่งเราควรชื่นชมและสรรเสริญพระองค์เนื่องจากเป็นผู้เชิญเราเข้าไปในบริเวณพระนิเวศน์แห่งพระองค์อย่างสมเกียรติ

  

ข้อคิด: สดุดี 89; 96; 100-101; 105; 132

สดุดี 89:22–23 สอดคล้องกับสัญญาของพระเจ้าที่ทรงทำกับดาวิด โดยกล่าวว่า พระเจ้าจะปกป้องและบดขยี้ศัตรูของดาวิดให้ล่มสลาย และไม่ให้เขาถูกทำให้อับอาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้ามีแผนการที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่การรักษาดาวิดเท่านั้น แต่รวมถึงการควบคุมและดูแลรายละเอียดทุกอย่างในอนาคตของชาติและมนุษยชาติด้วย พระเจ้าทรงมีอำนาจเหนือรายละเอียดทุกขั้นตอนของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์และน่าชื่นชมในความสุขและความรอบรู้ของพระองค์ที่ทรงดูแลทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่เริ่มแรก

 

คำถาม

1.   การยึดมั่นในคำสัญญาของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน: สดุดี 89, 96, และ 105 เน้นความสัตย์ซื่อของพระเจ้าต่อพันธสัญญาและความเป็นธรรมของพระองค์ในทุกยุคทุกสมัย เราจะสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในพระเจ้าด้วยวิธีใด เพื่อให้ชีวิตของเราแข็งแรงและมั่นคงต่อการท้าทายและความเปลี่ยนแปลงในสังคมปัจจุบัน?

2.   การแสดงออกถึงความเคารพและสรรเสริญพระเจ้าอย่างจริงใจ: สดุดี 100-101, 132 เน้นถึงความสำคัญของการสรรเสริญและเคารพพระเจ้าอย่างจริงใจในทุกโอกาส ในชีวิตประจำวัน เราจะสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกขอบคุณและความเคารพต่อพระเจ้าได้อย่างไร เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและแบบอย่างแก่ผู้อื่นในชุมชนและสังคม?

 

 

สดุดีบทที่ 89 เป็นบทเพลงที่ลึกซึ้งและให้ข้อคิดมากมาย ทั้งในเรื่องความซื่อสัตย์ของพระเจ้า แม้ในยามที่เราเผชิญกับความยากลำบาก หลักการที่ได้เรียนรู้ และการหนุนใจที่ได้รับจากสดุดีบทนี้ มีดังนี้:

สิ่งที่ได้เรียนรู้:

1.      ความซื่อสัตย์และรักมั่นคงของพระเจ้าเป็นนิรันดร์: บทเพลงเริ่มต้นด้วยการสรรเสริญความรักมั่นคงและพระสัญญาที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่มีต่อดาวิดและวงศ์ศ์ของท่าน (สดุดี 89:1-4) แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าพระสัญญาจะไม่เป็นจริง ความเชื่อมั่นในพระลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้ายังคงเป็นรากฐานที่สำคัญ

2.      ฤทธานุภาพและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเหนือสิ่งสร้าง: สดุดีบทนี้เน้นย้ำถึงอำนาจและการปกครองของพระเจ้าเหนือธรรมชาติ ท้องฟ้า ทะเล และแผ่นดิน (สดุดี 89:5-14) การตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าช่วยให้เราวางใจในพระองค์ได้แม้ในปัญหาที่ดูเหมือนใหญ่โต

3.      พระสัญญาของพระเจ้ากับดาวิดและอาณาจักรของพระองค์: พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับดาวิดว่าจะสถาปนาวงศ์ศ์ของท่านไว้เป็นนิตย์ (สดุดี 89:19-37) แม้ว่าในประวัติศาสตร์จะมีช่วงเวลาที่อาณาจักรดาวิดอ่อนแอลง แต่คริสเตียนเชื่อว่าพระสัญญานี้สำเร็จสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นเชื้อสายของดาวิดและจะทรงครองราชย์เป็นนิตย์

4.      การคร่ำครวญและการตั้งคำถามต่อพระเจ้าเป็นสิ่งที่ทำได้: ในส่วนหลังของสดุดีบทนี้ ผู้เขียนระบายความรู้สึกถึงความยากลำบากและการถูกทอดทิ้งที่พวกเขาเผชิญ (สดุดี 89:38-51) การแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความสงสัย ความกลัว หรือความสิ้นหวัง เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ซื่อตรงกับพระองค์

5.      การทรงสัตย์ซื่อของพระเจ้าเหนือกว่าสถานการณ์: แม้ผู้เขียนจะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงละทิ้งพวกเขา แต่บทเพลงก็จบลงด้วยการสรรเสริญพระเจ้า (สดุดี 89:52) แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นในพระเจ้ายังคงอยู่เหนือความรู้สึกและสถานการณ์ปัจจุบัน

ข้อคิด:

  • จงยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า แม้เมื่อสถานการณ์ดูเหมือนขัดแย้ง: พระสัญญาของพระเจ้าเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เราสามารถวางใจในความซื่อสัตย์ของพระองค์ได้เสมอ
  • จงตระหนักถึงฤทธานุภาพและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า: การรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งช่วยให้เรามีมุมมองที่ถูกต้องต่อปัญหาและความท้าทายในชีวิต
  • จงซื่อสัตย์ในการแสดงความรู้สึกต่อพระเจ้า: การเปิดใจและระบายความรู้สึกที่แท้จริงต่อพระองค์เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและไว้วางใจ
  • ความยากลำบากและการทดลองเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต: แม้แต่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็เผชิญกับความทุกข์ แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะไม่ทอดทิ้งพวกเขา
  • การสรรเสริญพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญเสมอ: ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร การถวายเกียรติและสรรเสริญพระเจ้าจะนำมาซึ่งกำลังใจและความหวัง