เรื่องย่อ
เมื่อคำสัญญาของพระเจ้าถูกตั้งอยู่แน่นหนาในใจของประชากร คำสดุดีบทที่ 89 เปิดเผยถึงการยืนยันถึงพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อดาวิดและราชวงศ์ของเขา แต่ก็ไม่พลาดที่จะแสดงความรู้สึกของผู้เขียนเมื่อเผชิญกับความท้าทายและการดูถูกจากศัตรู ในสดุดี 96 เราเห็นการเรียกร้องให้มีการสรรเสริญพระเจ้าอย่างยิ่งใหญ่ และบอกให้ประชาชาติตระหนักถึงสิ่งมหัศจรรย์ของพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลก ในสดุดี 100-101 มีความชัดเจนถึงการทำให้พระวิหารเป็นที่นมัสการและการสรรเสริญอย่างมีระเบียบ ในขณะที่สดุดี 105 ย้อนกลับไปสู่การช่วยเหลือของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอลในอดีต ทำให้ผู้คนระลึกถึงพระคุณและพระการนำของพระองค์ ในที่สุด สดุดี 132 ยกย่องความสัญญาที่พระเจ้าทรงให้แก่ดาวิด ว่าจะมีตำนานของเขาที่คงอยู่เหนืออิสราเอล บทเพลงเหล่านี้ทั้งหมดล้วนมีการนิยามความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างพระเจ้ากับประชากรอิสราเอล รวมถึงการกระตุ้นให้มีการสรรเสริญและจำพระคุณของพระเจ้าในทุกช่วงเวลาของชีวิต
สดุดี 89 มีความสับสนอยู่บ้างในบางส่วน เช่น ข้อ 10 ที่กล่าวว่าพระเจ้า “บดขยี้ราหับเหมือนซากสัตว์” ซึ่งไม่ได้หมายถึงราหับคือชาวคานาอัน แต่หมายถึงอียิปต์ คำกล่าวนี้แสดงถึงชัยชนะของพระเจ้าที่ทรงครอบครองเหนือมหาอำนาจโลกและความยุ่งเหยิงต่างๆ ส่วนที่ทำให้เกิดความสับสนอีกเป็นข้อ 27 เมื่อดาวิดถูกเรียกว่า “บุตรหัวปี” ซึ่งเป็นคำเดียวกันกับที่พระเยซูถูกเรียก นั่นแปลว่าพระเยซูเป็นบุตรหัวปีเหนือสิ่งสร้างทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงอภิสิทธิ์และยิ่งใหญ่กว่าบุตรหัวปีในบริบทต่างๆ ทั้งนี้ สดุดีบทนี้ยังมีองค์ประกอบเชิงพยากรณ์หลายชั้น จึงสามารถหมายถึงเหตุการณ์ในยุคปัจจุบันและสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เกี่ยวข้องได้ในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ ในข้อ 38–45 พระเจ้าถูกกล่าวหาว่าละทิ้งอิสราเอล แต่หากย้อนกลับไปดูข้อ 30–32 จะพบว่าเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้ากำลังฝึกสอนและปรับปรุงพวกเขา ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลงโทษเพราะกบฏ เมื่อช่วงเวลานั้นผ่านไป พระเจ้าจะยังคงสัตย์ซื่อและจะแสดงความเมตตาอย่างไม่มีเงื่อนไข ดนตรีและบทสรรเสริญในสดุดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ ซึ่งสดุดีบทนี้จึงเป็นทั้งการเตือนใจและการสรรเสริญความดีงามของพระเจ้า
ขณะเดียวกัน สดุดี 96 ก็คล้ายกับบทเพลงสรรเสริญใน 1 พงศาวดาร 16 เมื่อพวกเขานำหีบพันธสัญญามายังเยรูซาเล็ม และข้อ 5 กล่าวว่า “พระของชนชาติทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นเทวรูปไร้ค่า” ซึ่งในภาษาเขียนภาษาฮีบรูมีการเล่นคำตลกว่า “สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง!” ข้อความเหล่านี้เน้นให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์และความดีของพระองค์เปรียบเสมือนคำเชิญชวนให้เราระลึกถึงความเป็นเจ้าของและความสัมพันธ์ของเราในฐานะประชากรและแกะของพระองค์ นอกจากนี้ สดุดี 100 ก็ให้ข้อคิดเกี่ยวกับความดีและความเมตตาของพระเจ้า ซึ่งเราควรชื่นชมและสรรเสริญพระองค์เนื่องจากเป็นผู้เชิญเราเข้าไปในบริเวณพระนิเวศน์แห่งพระองค์อย่างสมเกียรติ
ข้อคิด: สดุดี 89; 96; 100-101; 105; 132
สดุดี 89:22–23 สอดคล้องกับสัญญาของพระเจ้าที่ทรงทำกับดาวิด โดยกล่าวว่า พระเจ้าจะปกป้องและบดขยี้ศัตรูของดาวิดให้ล่มสลาย และไม่ให้เขาถูกทำให้อับอาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้ามีแผนการที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่การรักษาดาวิดเท่านั้น แต่รวมถึงการควบคุมและดูแลรายละเอียดทุกอย่างในอนาคตของชาติและมนุษยชาติด้วย พระเจ้าทรงมีอำนาจเหนือรายละเอียดทุกขั้นตอนของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์และน่าชื่นชมในความสุขและความรอบรู้ของพระองค์ที่ทรงดูแลทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่เริ่มแรก
คำถาม
1. การยึดมั่นในคำสัญญาของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน: สดุดี 89, 96, และ 105 เน้นความสัตย์ซื่อของพระเจ้าต่อพันธสัญญาและความเป็นธรรมของพระองค์ในทุกยุคทุกสมัย เราจะสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในพระเจ้าด้วยวิธีใด เพื่อให้ชีวิตของเราแข็งแรงและมั่นคงต่อการท้าทายและความเปลี่ยนแปลงในสังคมปัจจุบัน?
2. การแสดงออกถึงความเคารพและสรรเสริญพระเจ้าอย่างจริงใจ: สดุดี 100-101, 132 เน้นถึงความสำคัญของการสรรเสริญและเคารพพระเจ้าอย่างจริงใจในทุกโอกาส ในชีวิตประจำวัน เราจะสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกขอบคุณและความเคารพต่อพระเจ้าได้อย่างไร เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและแบบอย่างแก่ผู้อื่นในชุมชนและสังคม?
สดุดีบทที่ 89 เป็นบทเพลงที่ลึกซึ้งและให้ข้อคิดมากมาย ทั้งในเรื่องความซื่อสัตย์ของพระเจ้า แม้ในยามที่เราเผชิญกับความยากลำบาก หลักการที่ได้เรียนรู้ และการหนุนใจที่ได้รับจากสดุดีบทนี้ มีดังนี้:
สิ่งที่ได้เรียนรู้:
1. ความซื่อสัตย์และรักมั่นคงของพระเจ้าเป็นนิรันดร์: บทเพลงเริ่มต้นด้วยการสรรเสริญความรักมั่นคงและพระสัญญาที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่มีต่อดาวิดและวงศ์ศ์ของท่าน (สดุดี 89:1-4) แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าพระสัญญาจะไม่เป็นจริง ความเชื่อมั่นในพระลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้ายังคงเป็นรากฐานที่สำคัญ
2. ฤทธานุภาพและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเหนือสิ่งสร้าง: สดุดีบทนี้เน้นย้ำถึงอำนาจและการปกครองของพระเจ้าเหนือธรรมชาติ ท้องฟ้า ทะเล และแผ่นดิน (สดุดี 89:5-14) การตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าช่วยให้เราวางใจในพระองค์ได้แม้ในปัญหาที่ดูเหมือนใหญ่โต
3. พระสัญญาของพระเจ้ากับดาวิดและอาณาจักรของพระองค์: พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับดาวิดว่าจะสถาปนาวงศ์ศ์ของท่านไว้เป็นนิตย์ (สดุดี 89:19-37) แม้ว่าในประวัติศาสตร์จะมีช่วงเวลาที่อาณาจักรดาวิดอ่อนแอลง แต่คริสเตียนเชื่อว่าพระสัญญานี้สำเร็จสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นเชื้อสายของดาวิดและจะทรงครองราชย์เป็นนิตย์
4. การคร่ำครวญและการตั้งคำถามต่อพระเจ้าเป็นสิ่งที่ทำได้: ในส่วนหลังของสดุดีบทนี้ ผู้เขียนระบายความรู้สึกถึงความยากลำบากและการถูกทอดทิ้งที่พวกเขาเผชิญ (สดุดี 89:38-51) การแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความสงสัย ความกลัว หรือความสิ้นหวัง เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ซื่อตรงกับพระองค์
5. การทรงสัตย์ซื่อของพระเจ้าเหนือกว่าสถานการณ์: แม้ผู้เขียนจะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงละทิ้งพวกเขา แต่บทเพลงก็จบลงด้วยการสรรเสริญพระเจ้า (สดุดี 89:52) แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นในพระเจ้ายังคงอยู่เหนือความรู้สึกและสถานการณ์ปัจจุบัน
ข้อคิด:
- จงยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า แม้เมื่อสถานการณ์ดูเหมือนขัดแย้ง: พระสัญญาของพระเจ้าเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เราสามารถวางใจในความซื่อสัตย์ของพระองค์ได้เสมอ
- จงตระหนักถึงฤทธานุภาพและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า: การรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งช่วยให้เรามีมุมมองที่ถูกต้องต่อปัญหาและความท้าทายในชีวิต
- จงซื่อสัตย์ในการแสดงความรู้สึกต่อพระเจ้า: การเปิดใจและระบายความรู้สึกที่แท้จริงต่อพระองค์เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและไว้วางใจ
- ความยากลำบากและการทดลองเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต: แม้แต่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็เผชิญกับความทุกข์ แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะไม่ทอดทิ้งพวกเขา
- การสรรเสริญพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญเสมอ: ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร การถวายเกียรติและสรรเสริญพระเจ้าจะนำมาซึ่งกำลังใจและความหวัง