เรื่องย่อ
ความไว้วางใจในพระเจ้าคือรากฐานของความหวังและความเข้มแข็งในชีวิต สดุดีเหล่านี้สอนให้เรายึดมั่นในพระองค์ในยามที่เผชิญกับความทุกข์และความอยุติธรรม โดยพระองค์เป็นที่พึ่งพิงและเสมอจะไม่ทอดทิ้งผู้ที่อธิษฐานขอความเมตตา ช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่ใช่อุปสรรคแต่เป็นโอกาสให้เราแสดงความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ในพระเจ้าที่ทรงฟังและตอบสนอง ด้วยความศรัทธานี้ เราจะพบพลังใจและความสงบในช่วงเวลายากลำบาก และสามารถเดินหน้าต่อไปด้วยความหวังที่มั่นคง
ในสดุดีบทที่ 5 ดาวิดแสดงความเคารพและถ่อมตนต่อพระเจ้าโดยเรียกพระเจ้าว่า "กษัตริย์ของตน" แม้ว่าเขาเองจะเป็นกษัตริย์ของชาติ ดาวิดตระหนักว่าตนอยู่ภายใต้การปกครองและความดีของพระเจ้า ในข้อ 7 เขายอมรับว่าการที่เขาสามารถอยู่ในบ้านของพระเจ้าได้นั้นไม่ใช่เพราะความดีของเขาเอง แต่เป็นเพราะความรักมั่นคงของพระเจ้า ซึ่งเป็นการรับรู้ถึงความไม่สมบูรณ์ของตนและแสดงให้เห็นถึงการรับอภัยบาปที่ได้รับจากพระเจ้า การมีความกลัวพระเจ้าไม่ใช่การผลักไส แต่กลับช่วยให้เขาใกล้ชิดกับพระองค์ยิ่งขึ้น
ในสดุดีบทที่ 38 ดาวิดประสบกับความทุกข์ทรมานทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณ เขาตระหนักถึงความชั่วร้ายและความโง่เขลาของตนเอง และกลับใจยอมรับผลของมัน ดาวิดร้องขอความบรรเทาทุกข์จากพระเจ้า และยิ่งใหญ่กว่านั้นคือความใกล้ชิดกับพระองค์ ซึ่งเขายึดถือว่าความเจ็บปวดจากการห่างพระเจ้านั้นรุนแรงยิ่งกว่าความทุกข์ทรมานใดๆ ในท้ายที่สุด เขาร้องขอความเมตตาและการไม่ละทิ้งจากพระเจ้า ด้วยความเชื่อหวังในความรอดที่จะมาถึง
เมื่อถึงสดุดีบทที่ 41 ดาวิดแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความสุขและการใส่ใจคนยากจน พระเจ้ามีความเมตตาต่อผู้ยากไร้ และในขณะที่ดาวิดเองกำลังเจ็บป่วย เขาร้องขอการฟื้นฟู แต่ไม่มีความทวงสิทธิ เรียกเพียงความเมตตาจากพระเจ้า เขายอมรับว่าพระคุณของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เขาไม่สมควรได้รับ แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงประคับประคองเขามาตลอด และในสดุดีบทที่ 42 ดาวิดยังคงร้องขอความใกล้ชิดจากพระเจ้า ท่ามกลางความท้อแท้ใจ เขาแสดงความกระหายที่จะกลับมาอยู่ในที่ประทับของพระเจ้า และในขณะที่รู้สึกเหมือนกับพระเจ้าทอดทิ้งเขาไป แต่เขายังคงเชื่อมั่นในความฟื้นฟูและรอคอยการสรรเสริญพระเจ้าในภายภาคหน้า
ข้อคิด: สดุดี 5; 38; 41-42
สดุดีเหล่านี้ให้ความสบายใจเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับดาวิด เมื่อเรารู้สึกห่างไกลจากพระเจ้า หากคุณเคยรู้สึกแห้งแล้งในทะเลทราย หากคุณเคยรู้สึกถึงการเยาะเย้ยของศัตรู คุณคงทราบดีว่าการรอคอยการเข้ามาใกล้และการช่วยให้รอดของพระเจ้าเป็นอย่างไร ในสถานที่เหล่านั้น เราสามารถตอบสนองได้เช่นเดียวกับดาวิด โดยนึกถึงวิธีที่พระองค์ได้ทรงช่วยเราผ่านการทดลองในอดีต สดุดีแต่ละบทที่เราอ่านในวันนี้จบลงด้วยการขอให้พระเจ้ากระทำการและความเชื่อมั่นอย่างจริงใจว่าพระองค์จะทำ ดาวิดทบทวนลักษณะนิสัยของพระเจ้าและสั่งให้จิตวิญญาณของเขาเชื่อเช่นนั้น บางครั้งในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของเราและเมื่อพระองค์รู้สึกห่างไกลจากเรามากที่สุด ในที่สุดเราก็ตระหนักได้ว่าพระองค์คือที่ที่ความชื่นชมยินดีอยู่!
คำถาม
1. สดุดีเน้นความสำคัญของการสื่อสารที่ซื่อสัตย์กับพระเจ้า แม้ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก ในชีวิตของเรา การเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาต่อความรู้สึกที่แท้จริงต่อพระเจ้าสามารถส่งผลต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์และกับผู้อื่นได้อย่างไร
2. สดุดีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ดิ้นรนกับการให้อภัยตนเองและการขอการเยียวยาจากพระเจ้า เราจะนำหลักการเหล่านี้ไปใช้ในการจัดการกับความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดในชีวิตของเราได้อย่างไร เพื่อที่เราจะพบการเยียวยาและการคืนดีอย่างแท้จริง
สดุดีบทที่ 41 และ 42 เป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงความไว้วางใจในพระเจ้า ท่ามกลางความยากลำบากและการพลัดพรากจากพระนิเวศน์ของพระองค์ ลองมาดูข้อคิดที่ได้จากสดุดีสองบทนี้กันนะครับ:
สดุดี 41: ความเมตตาและการช่วยเหลือของผู้ที่อ่อนแอ
- พระพรสำหรับผู้ที่เห็นอกเห็นใจผู้อ่อนแอ: บทนี้เริ่มต้นด้วยพระพรสำหรับผู้ที่ใส่ใจและช่วยเหลือคนยากจนและผู้ที่กำลังลำบาก (สดุดี 41:1-3). นี่เป็นข้อคิดที่เตือนใจเราให้มีความเมตตาและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
- ความซื่อสัตย์ท่ามกลางความเจ็บป่วยและการถูกทรยศ: ผู้เขียนสดุดีเผชิญกับความเจ็บป่วยและการถูกเพื่อนสนิททรยศ (สดุดี 41:5-9). ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ความหวังและการพึ่งพาพระเจ้ายังคงเป็นสิ่งสำคัญ
- การวางใจในความช่วยเหลือของพระเจ้า: ผู้เขียนแสดงความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงค้ำจุนและช่วยกู้เขา (สดุดี 41:10-12). นี่เป็นกำลังใจให้เราวางใจในพระเจ้าแม้ในเวลาที่เราอ่อนแอและเผชิญกับปัญหา
สดุดี 42: ความกระหายหาพระเจ้าและการปลอบประโลมในความทุกข์
- ความปรารถนาอย่างลึกซึ้งในพระเจ้า: บทนี้เริ่มต้นด้วยภาพที่สวยงามของการกระหายหาพระเจ้า เหมือนกวางกระหายหาน้ำ (สดุดี 42:1-2). นี่แสดงถึงความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะใกล้ชิดกับพระเจ้าและการแสวงหาการสถิตของพระองค์
- การระลึกถึงอดีตและความหวังในอนาคต: ผู้เขียนระลึกถึงช่วงเวลาที่เขาเคยนำคนไปนมัสการพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี (สดุดี 42:4). การหวนรำลึกถึงประสบการณ์ที่ดีในอดีตสามารถเป็นแหล่งของความหวังและกำลังใจในปัจจุบัน
- การถามตัวเองและการให้กำลังใจตัวเอง: ผู้เขียนถามตัวเองว่า "จิตใจเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงท้อแท้? ทำไมเจ้าจึงกระวนกระวายในอกข้าพเจ้า?" แล้วให้กำลังใจตัวเองให้หวังในพระเจ้า (สดุดี 42:5, 11). นี่เป็นแบบอย่างของการจัดการกับความรู้สึกท้อแท้ด้วยการหันเข้าหาพระเจ้าและความจริงของพระองค์
- ความเชื่อมั่นในความช่วยเหลือของพระเจ้าแม้ในความพลัดพราก: แม้จะรู้สึกห่างไกลจากพระนิเวศน์ของพระเจ้า ผู้เขียนยังคงเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงนำเขากลับมาและเขาจะได้สรรเสริญพระองค์อีกครั้ง (สดุดี 42:10). นี่สอนให้เรามีความหวังและความอดทนในการรอคอยการช่วยเหลือจากพระเจ้า
สดุดี 41-42 สอนให้เราเห็นถึงความสำคัญของความเมตตาต่อผู้อื่น การวางใจในพระเจ้าท่ามกลางความยากลำบาก ความปรารถนาอย่างลึกซึ้งในพระองค์ และการหาการปลอบประโลมและความหวังในพระองค์เมื่อเราเผชิญกับความทุกข์และการพลัดพรากครับ