Thai Mission Reading Plan 2025

อ่านพระคัมภีร์ให้สนุกและเกิดผลในหนึ่งปี มีข้อคิดที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ทุกตอน


Started on: Jan. 1, 2025

ร่วมกลุ่มอ่านพระคัมภีร์ในแผนนี้

อ่านพระคัมภีร์ | READ SCRIPTURES

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 5

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 38

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 41

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 42

เรื่องย่อ

ความไว้วางใจในพระเจ้าคือรากฐานของความหวังและความเข้มแข็งในชีวิต สดุดีเหล่านี้สอนให้เรายึดมั่นในพระองค์ในยามที่เผชิญกับความทุกข์และความอยุติธรรม โดยพระองค์เป็นที่พึ่งพิงและเสมอจะไม่ทอดทิ้งผู้ที่อธิษฐานขอความเมตตา ช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่ใช่อุปสรรคแต่เป็นโอกาสให้เราแสดงความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ในพระเจ้าที่ทรงฟังและตอบสนอง ด้วยความศรัทธานี้ เราจะพบพลังใจและความสงบในช่วงเวลายากลำบาก และสามารถเดินหน้าต่อไปด้วยความหวังที่มั่นคง

 

ในสดุดีบทที่ 5 ดาวิดแสดงความเคารพและถ่อมตนต่อพระเจ้าโดยเรียกพระเจ้าว่า "กษัตริย์ของตน" แม้ว่าเขาเองจะเป็นกษัตริย์ของชาติ ดาวิดตระหนักว่าตนอยู่ภายใต้การปกครองและความดีของพระเจ้า ในข้อ 7 เขายอมรับว่าการที่เขาสามารถอยู่ในบ้านของพระเจ้าได้นั้นไม่ใช่เพราะความดีของเขาเอง แต่เป็นเพราะความรักมั่นคงของพระเจ้า ซึ่งเป็นการรับรู้ถึงความไม่สมบูรณ์ของตนและแสดงให้เห็นถึงการรับอภัยบาปที่ได้รับจากพระเจ้า การมีความกลัวพระเจ้าไม่ใช่การผลักไส แต่กลับช่วยให้เขาใกล้ชิดกับพระองค์ยิ่งขึ้น

ในสดุดีบทที่ 38 ดาวิดประสบกับความทุกข์ทรมานทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณ เขาตระหนักถึงความชั่วร้ายและความโง่เขลาของตนเอง และกลับใจยอมรับผลของมัน ดาวิดร้องขอความบรรเทาทุกข์จากพระเจ้า และยิ่งใหญ่กว่านั้นคือความใกล้ชิดกับพระองค์ ซึ่งเขายึดถือว่าความเจ็บปวดจากการห่างพระเจ้านั้นรุนแรงยิ่งกว่าความทุกข์ทรมานใดๆ ในท้ายที่สุด เขาร้องขอความเมตตาและการไม่ละทิ้งจากพระเจ้า ด้วยความเชื่อหวังในความรอดที่จะมาถึง

เมื่อถึงสดุดีบทที่ 41 ดาวิดแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความสุขและการใส่ใจคนยากจน พระเจ้ามีความเมตตาต่อผู้ยากไร้ และในขณะที่ดาวิดเองกำลังเจ็บป่วย เขาร้องขอการฟื้นฟู แต่ไม่มีความทวงสิทธิ เรียกเพียงความเมตตาจากพระเจ้า เขายอมรับว่าพระคุณของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เขาไม่สมควรได้รับ แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงประคับประคองเขามาตลอด และในสดุดีบทที่ 42 ดาวิดยังคงร้องขอความใกล้ชิดจากพระเจ้า ท่ามกลางความท้อแท้ใจ เขาแสดงความกระหายที่จะกลับมาอยู่ในที่ประทับของพระเจ้า และในขณะที่รู้สึกเหมือนกับพระเจ้าทอดทิ้งเขาไป แต่เขายังคงเชื่อมั่นในความฟื้นฟูและรอคอยการสรรเสริญพระเจ้าในภายภาคหน้า

 

ข้อคิด: สดุดี 5; 38; 41-42

สดุดีเหล่านี้ให้ความสบายใจเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับดาวิด เมื่อเรารู้สึกห่างไกลจากพระเจ้า หากคุณเคยรู้สึกแห้งแล้งในทะเลทราย หากคุณเคยรู้สึกถึงการเยาะเย้ยของศัตรู คุณคงทราบดีว่าการรอคอยการเข้ามาใกล้และการช่วยให้รอดของพระเจ้าเป็นอย่างไร ในสถานที่เหล่านั้น เราสามารถตอบสนองได้เช่นเดียวกับดาวิด โดยนึกถึงวิธีที่พระองค์ได้ทรงช่วยเราผ่านการทดลองในอดีต สดุดีแต่ละบทที่เราอ่านในวันนี้จบลงด้วยการขอให้พระเจ้ากระทำการและความเชื่อมั่นอย่างจริงใจว่าพระองค์จะทำ ดาวิดทบทวนลักษณะนิสัยของพระเจ้าและสั่งให้จิตวิญญาณของเขาเชื่อเช่นนั้น บางครั้งในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของเราและเมื่อพระองค์รู้สึกห่างไกลจากเรามากที่สุด ในที่สุดเราก็ตระหนักได้ว่าพระองค์คือที่ที่ความชื่นชมยินดีอยู่!

 

คำถาม

1.   สดุดีเน้นความสำคัญของการสื่อสารที่ซื่อสัตย์กับพระเจ้า แม้ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก ในชีวิตของเรา การเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาต่อความรู้สึกที่แท้จริงต่อพระเจ้าสามารถส่งผลต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์และกับผู้อื่นได้อย่างไร

2.   สดุดีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ดิ้นรนกับการให้อภัยตนเองและการขอการเยียวยาจากพระเจ้า เราจะนำหลักการเหล่านี้ไปใช้ในการจัดการกับความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดในชีวิตของเราได้อย่างไร เพื่อที่เราจะพบการเยียวยาและการคืนดีอย่างแท้จริง

 

 

สดุดีบทที่ 41 และ 42 เป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงความไว้วางใจในพระเจ้า ท่ามกลางความยากลำบากและการพลัดพรากจากพระนิเวศน์ของพระองค์ ลองมาดูข้อคิดที่ได้จากสดุดีสองบทนี้กันนะครับ:

สดุดี 41: ความเมตตาและการช่วยเหลือของผู้ที่อ่อนแอ

  • พระพรสำหรับผู้ที่เห็นอกเห็นใจผู้อ่อนแอ: บทนี้เริ่มต้นด้วยพระพรสำหรับผู้ที่ใส่ใจและช่วยเหลือคนยากจนและผู้ที่กำลังลำบาก (สดุดี 41:1-3). นี่เป็นข้อคิดที่เตือนใจเราให้มีความเมตตาและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
  • ความซื่อสัตย์ท่ามกลางความเจ็บป่วยและการถูกทรยศ: ผู้เขียนสดุดีเผชิญกับความเจ็บป่วยและการถูกเพื่อนสนิททรยศ (สดุดี 41:5-9). ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ความหวังและการพึ่งพาพระเจ้ายังคงเป็นสิ่งสำคัญ
  • การวางใจในความช่วยเหลือของพระเจ้า: ผู้เขียนแสดงความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงค้ำจุนและช่วยกู้เขา (สดุดี 41:10-12). นี่เป็นกำลังใจให้เราวางใจในพระเจ้าแม้ในเวลาที่เราอ่อนแอและเผชิญกับปัญหา

สดุดี 42: ความกระหายหาพระเจ้าและการปลอบประโลมในความทุกข์

  • ความปรารถนาอย่างลึกซึ้งในพระเจ้า: บทนี้เริ่มต้นด้วยภาพที่สวยงามของการกระหายหาพระเจ้า เหมือนกวางกระหายหาน้ำ (สดุดี 42:1-2). นี่แสดงถึงความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะใกล้ชิดกับพระเจ้าและการแสวงหาการสถิตของพระองค์
  • การระลึกถึงอดีตและความหวังในอนาคต: ผู้เขียนระลึกถึงช่วงเวลาที่เขาเคยนำคนไปนมัสการพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี (สดุดี 42:4). การหวนรำลึกถึงประสบการณ์ที่ดีในอดีตสามารถเป็นแหล่งของความหวังและกำลังใจในปัจจุบัน
  • การถามตัวเองและการให้กำลังใจตัวเอง: ผู้เขียนถามตัวเองว่า "จิตใจเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงท้อแท้? ทำไมเจ้าจึงกระวนกระวายในอกข้าพเจ้า?" แล้วให้กำลังใจตัวเองให้หวังในพระเจ้า (สดุดี 42:5, 11). นี่เป็นแบบอย่างของการจัดการกับความรู้สึกท้อแท้ด้วยการหันเข้าหาพระเจ้าและความจริงของพระองค์
  • ความเชื่อมั่นในความช่วยเหลือของพระเจ้าแม้ในความพลัดพราก: แม้จะรู้สึกห่างไกลจากพระนิเวศน์ของพระเจ้า ผู้เขียนยังคงเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงนำเขากลับมาและเขาจะได้สรรเสริญพระองค์อีกครั้ง (สดุดี 42:10). นี่สอนให้เรามีความหวังและความอดทนในการรอคอยการช่วยเหลือจากพระเจ้า

สดุดี 41-42 สอนให้เราเห็นถึงความสำคัญของความเมตตาต่อผู้อื่น การวางใจในพระเจ้าท่ามกลางความยากลำบาก ความปรารถนาอย่างลึกซึ้งในพระองค์ และการหาการปลอบประโลมและความหวังในพระองค์เมื่อเราเผชิญกับความทุกข์และการพลัดพรากครับ