เรื่องย่อ
พระธรรมสุภาษิตบทที่ 10-12 สรุปแนวคิดเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่วในชีวิตประจำวัน โดยเน้นถึงพลังของคำพูดที่เป็นประโยชน์หรือทำลายล้าง รวมถึงความขยันหมั่นเพียรที่นำไปสู่ความรุ่งเรืองและความสุขในชีวิต ในบทนี้ยังเตือนให้หลีกเลี่ยงความโลภ ความเกียจคร้าน และการทำผิดศีลธรรม พร้อมส่งเสริมคุณธรรมเช่น ความซื่อสัตย์และความรอบคอบ เป็นบทเรียนที่ชี้ชัดว่าการดำเนินชีวิตด้วยธรรมะ คุณธรรม และความเข้าใจในคำสอน จะนำพาให้ชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน
วันนี้เรายังคงเรียนรู้จากสุภาษิตของซาโลมอนที่เน้นให้เรามีปัญญาในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อคนรอบข้างด้วย การแสวงหาความจริงและการปฏิบัติตามคำสอนแรกอาจดูยากในช่วงแรก แต่จะนำไปสู่พรในระยะยาว อีกทั้งปัญญายังเป็นสิ่งที่สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเรียนรู้ได้ด้วย คนที่มีปัญญาจะฟังคำสั่งและคำเตือนได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในชีวิต เพราะคำพูดของเรามีอำนาจ ส่งผลต่อความรู้สึกและทัศนคติของเราและผู้อื่น และหลายครั้งคำพูดเหล่านี้สามารถสร้างหรือทำลายความสัมพันธ์ได้
แต่ทั้งนี้ คำสอนในสุภาษิตไม่ใช่เป็นกฎหมายหรือคำทำนายไร้เงื่อนไข เราต้องตีความอย่างละเอียดและพิจารณาบริบท เพราะบางข้อความอาจดูขัดแย้งกันเอง เช่น เรื่องทรัพย์สมบัติและความยากจน ซึ่งสุภาษิตเหล่านี้เน้นให้เราเห็นความสำคัญของจริยธรรมและความขยัน ความจริงก็คือ ความพยายามและความขยันไม่ใช่เสมอไปจะนำมาซึ่งความสำเร็จเสมอไป แต่การทำงานอย่างตั้งใจและซื่อสัตย์ก็เป็นสิ่งที่ดีเสมอ ข้อคิดนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าความฉลาดในชีวิตคือการเดินตามแนวทางของพระเจ้าและรักษาความสมดุลในทุกด้าน
นอกจากนี้ บทต่าง ๆ ยังสอนไว้ว่า ความถ่อมตนและความชอบธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก คนที่ถ่อมตัวจะรู้ว่าการทำสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนเป็นทางที่ฉลาดที่สุด ผู้ที่มีปัญญาจะไม่พูดมากเกินไป แต่เลือกคำพูดอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด หรือบาดเจ็บผู้อื่น การพูดน้อยแต่พูดแต่คำที่เป็นประโยชน์และเต็มไปด้วยความจริงใจ จะนำมาซึ่งความสงบและความเข้าใจที่ดีในชีวิตของเรา
ข้อคิด: สุภาษิต 10-12
ข้อ 11:20 และ 12:22 กล่าวถึงพระเจ้าที่เกลียดหัวใจที่คดโกงและริมฝีปากที่โกหก ซึ่งคำว่า “คดโกง” หมายถึงการประพฤติตัวไม่ตรงตามความดีและพระวจนะของพระเจ้า เช่น การทะเลาะหรือขัดขวางมาตรฐานของพระองค์ ส่วนพระเจ้ารักคนที่มีความซื่อสัตย์และประพฤติตนในความบริสุทธิ์ ถึงแม้เราทุกคนจะเคยโกหกหรือทำผิดบ้าง ความดีคือพระเจ้ารักเราทั้งในเวลาที่เราเป็นบาปและเมื่อเราเปลี่ยนแปลง ด้วยความตายของพระคริสต์ พระองค์ได้ครอบคลุมและให้อภัยบาปของเรา รวมทั้งแรงจูงใจที่ไม่ดีเบื้องหลังการกระทำของเรา ทำให้เราสามารถชื่นชมยินดีในพระองค์และรู้สึกว่าพระองค์อยู่เคียงข้างเราเสมอ พระองค์คือความสุขและความชื่นชมยินดีของเราเช่นกัน
คำถาม
1. พระคัมภีร์สุภาษิต 10:1 กล่าวว่า "เด็กดีเป็นแสงสว่างของพ่อแม่" คำสอนนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการสร้างเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างไรในชีวิตประจำวัน และเราจะสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสมาชิกในครอบครัวได้อย่างไร?
2. สุภาษิต 12:15 กล่าวว่า "ความเข้าใจของคนดีเป็นเสียงของความฉลาด แต่ผู้สั่งสอนผิดไม่สนใจคำเตือน" คำถามนี้ชวนให้คิดว่า ความรู้และความเข้าใจในคริสตจักรหรือชุมชนครอบครัวมีผลต่อการสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างไร และเราจะส่งเสริมให้มีการเติบโตของความเข้าใจเช่นนี้อย่างไร?
ข้อคิดจากสุภาษิตบทที่ 10-12: ความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมกับคนชั่วร้าย
สุภาษิตบทที่ 10 เป็นบทที่เต็มไปด้วยข้อเปรียบเทียบที่คมคายระหว่าง คนชอบธรรม และ คนชั่วร้าย หรือระหว่างคนที่มีสติปัญญากับคนโง่เขลา โดยเน้นย้ำถึงผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของการดำเนินชีวิตทั้งสองแบบ
- ผลของความประพฤติ: บทนี้เน้นว่าการกระทำของคนเราส่งผลต่อชีวิตของตนเอง คนชอบธรรมจะได้รับพระพร ความอุดมสมบูรณ์ และชีวิตที่ยืนยาว ในขณะที่คนชั่วร้ายจะประสบกับความยากจน ความอับอาย และความพินาศ
- พลังของคำพูด: คำพูดมีอำนาจมหาศาล คำพูดของคนชอบธรรมนำมาซึ่งชีวิตและประโยชน์ ในขณะที่คำพูดของคนชั่วร้ายนำมาซึ่งการทำลายและหายนะ
- คุณค่าของความขยัน: ความขยันหมั่นเพียรนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ส่วนความเกียจคร้านนำมาซึ่งความยากจน
- ความสำคัญของความจริงใจ: การดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญ คนที่ซื่อสัตย์จะได้รับความไว้วางใจและมีชีวิตที่มั่นคง
สุภาษิตบทที่ 11 สานต่อแนวคิดจากบทที่ 10 โดยเน้นย้ำว่า ความชอบธรรมนำไปสู่ชีวิตและความดีงาม ส่วน ความชั่วร้ายนำไปสู่ความตายและความพินาศ
- ความถ่อมตน vs. ความเย่อหยิ่ง: ความถ่อมตนนำมาซึ่งปัญญาและเกียรติยศ แต่ความเย่อหยิ่งนำมาซึ่งความอับอายและความพินาศ
- ความซื่อสัตย์ vs. การคดโกง: คนซื่อสัตย์จะได้รับความช่วยเหลือและความรอดพ้น ในขณะที่คนคดโกงจะตกอยู่ในความเดือดร้อน
- ความเมตตา vs. ความโหดร้าย: คนเมตตาจะได้รับผลดีตอบแทน แต่คนโหดร้ายจะทำลายตนเองและผู้อื่น
- การให้และการรับ: การให้ด้วยใจกว้างขวางจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ แต่การตระหนี่ถี่เหนียวจะนำมาซึ่งความขาดแคลน
- ผลของการนินทา: การนินทาและการเปิดเผยความลับทำลายความสัมพันธ์ แต่การรักษาความลับสร้างความไว้วางใจ
สุภาษิตบทที่ 12 ยังคงเน้นย้ำถึงความแตกต่างระหว่างคนดีกับคนชั่ว และ คุณค่าของปัญญาในการนำทางชีวิต
- การแสวงหาความรู้: คนที่รักการเรียนรู้จะได้รับความรู้และปัญญา แต่คนที่เกลียดคำตักเตือนจะถูกตำหนิและโง่เขลา
- ผลของความประพฤติ: การกระทำดีนำมาซึ่งความโปรดปรานและความมั่นคง แต่การกระทำชั่วร้ายนำมาซึ่งความเดือดร้อน
- ความจริงใจ vs. การโกหก: ลิ้นที่พูดความจริงจะยืนหยัดอยู่ตลอดไป แต่ลิ้นที่โกหกจะอยู่ได้เพียงชั่วครู่
- ความขยัน vs. ความเกียจคร้าน: คนขยันจะประสบความสำเร็จและเป็นผู้นำ แต่คนเกียจคร้านจะถูกใช้แรงงาน
- การควบคุมคำพูด: การพูดโดยไม่คิดอาจทำร้ายผู้อื่น แต่คำพูดที่ฉลาดและการวางแผนที่ดีนำมาซึ่งการเยียวยาและความสำเร็จ
จากสุภาษิตบทที่ 10-12 เราสามารถนำหลักการสำคัญเหล่านี้มาปรับใช้ในชีวิตได้ดังนี้:
1. เลือกที่จะเป็นคนชอบธรรม: มุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม และเมตตา เพราะการทำดีจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว
2. ระมัดระวังคำพูด: ตระหนักว่าคำพูดมีพลังมหาศาล จงใช้คำพูดเพื่อสร้างสรรค์ ให้กำลังใจ และนำความจริง ไม่ใช่เพื่อทำลายหรือโกหก
3. หมั่นหาความรู้และปัญญา: เปิดใจรับการเรียนรู้ คำตักเตือน และคำแนะนำที่ดีอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญาและพัฒนาตนเอง
4. ขยันหมั่นเพียร: จงพากเพียรในการทำงานและหน้าที่ความรับผิดชอบ เพราะความขยันจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและความสำเร็จ
5. ฝึกฝนความถ่อมตน: หลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่งและความโอ้อวด เพราะความถ่อมตนจะทำให้เราเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และได้รับความรักใคร่จากผู้อื่น
6. เป็นผู้ให้: การรู้จักแบ่งปันและให้ผู้อื่นจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ในชีวิต ไม่ใช่แค่ทางวัตถุ แต่รวมถึงความสุขใจด้วย
7. ควบคุมอารมณ์: อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบมาครอบงำการกระทำและคำพูด เพราะอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและผลลัพธ์ที่ไม่ดี
การประยุกต์ใช้ข้อคิดและหลักการจากสุภาษิตเหล่านี้จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติปัญญา ประสบความสำเร็จ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น