เรื่องย่อ
กษัตริย์ผู้ชาญฉลาดเปลี่ยนจุดสนใจไปสู่ภูมิปัญญาเชิงปฏิบัติและการดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม ท่ามกลางความไร้สาระของการดำรงอยู่ เขาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการฟังด้วยความอดทน มีสติในการพูด และหลีกเลี่ยงความโกรธและการอิจฉา การยอมรับขีดจำกัดของตนเองและตระหนักถึงความชอบธรรมของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ปัญญาจารย์เน้นย้ำถึงคุณค่าของสติปัญญามากกว่าความโง่เขลา และเตือนถึงการล่อลวงของความมั่งคั่งทางวัตถุ โดยสรุปแล้ว เขาขอให้คนหนุ่มสาวจดจำพระผู้สร้างในวัยเยาว์ของตน ก่อนที่ความยากลำบากของวัยชราจะมาเยือน และกระตุ้นให้ทุกคนยำเกรงพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะพระเจ้าจะทรงนำกิจการทุกอย่างมาสู่การพิพากษา ไม่ว่าดีหรือชั่ว
ผู้เขียนปัญญาจารย์กระตุ้นให้ผู้อ่านเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของชีวิตและความตาย โดยยอมรับถึงความสำคัญของความเศร้าโศกและคุณค่าของประสบการณ์มนุษย์ แม้ว่าชีวิตจะสั้น แต่ความสำคัญของมันอยู่ที่การยอมรับอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้น การรอคอยเวลาของพระเจ้าต้องอาศัยความอ่อนน้อมถ่อมตนและความพึงพอใจ แม้ในขณะที่เรารอคอย การใช้ชีวิตด้วยความไว้วางใจในพระองค์หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในปัจจุบัน
ผู้เขียนปัญญาจารย์เตือนเรื่องการฉลาดหรือชอบธรรมมากเกินไป โดยเน้นว่าการทำตัวเป็นคนที่ถูกต้องเสมอหรือหยิ่งยโสจะนำไปสู่ความหายนะได้ เขายอมรับถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และคร่ำครวญถึงความยากลำบากในการเข้าใจผู้อื่น แม้แต่การเข้าใจผู้หญิงหรือผู้ชายด้วยกันก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย เขายังให้คำแนะนำแก่ที่ปรึกษาของกษัตริย์ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีสติปัญญาและความรอบคอบในการรับมือกับอำนาจที่อาจจะไม่มีการควบคุม แม้ว่าพวกเขาจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ชั่วคราว แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา
สุดท้าย ผู้เขียนปัญญาจารย์ย้ำเตือนถึงความตายที่เราทุกคนต้องเผชิญ ดังนั้นเราควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่าในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เขาส่งเสริมให้เราทำงานอย่างเต็มที่ด้วยมือของเรา เพราะความตายคือจุดจบของทุกสิ่ง นอกจากนี้ เขายังให้สุภาษิตมากมาย โดยเตือนว่าแม้แต่ความโง่เขลาเพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่ความหายนะได้ เขาเน้นถึงความสำคัญของการระวังความคิดของเราและการยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ดังนั้นเราควรยอมจำนนต่อพระองค์และวางใจในพระองค์ในทุกสิ่งที่เราทำ
ข้อคิด: ปัญญาจารย์ 7-12
ผู้เขียนปัญญาจารย์ตระหนักว่าแม้คนบาปอาจเจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตยืนยาว ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าต่างหากที่จะได้รับความสุขที่แท้จริง (8:12) เพราะไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับชีวิตที่มีความสุข สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือชื่นชมยินดีในพระเจ้า เชื่อฟังพระองค์ และวางใจในพระองค์ว่าจะทรงนำผลสำเร็จมาให้ แม้ว่าการได้สิ่งที่ปรารถนาอาจไม่ได้นำมาซึ่งความสงบสุข การดิ้นรนเพื่อให้ได้มาอาจนำไปสู่ผลตรงกันข้าม ผู้เขียนปัญญาจารย์ซึ่งมีทั้งพระราชวัง งานเลี้ยง และทรัพย์สินมากมาย ยืนยันว่าความสงบสุขและความยินดีอย่างแท้จริงนั้นมาจากการเดินร่วมกับพระเจ้าอย่างถ่อมตนเท่านั้น เพราะพระองค์ทรงเป็นที่ซึ่งความยินดีที่แท้จริงสถิตอยู่
คำถาม
1. ปัญญาจารย์เน้นถึงความไร้สาระของความสำเร็จทางวัตถุและการแสวงหาความสุขทางโลก คุณคิดว่าคำสอนนี้เกี่ยวข้องกับสังคมปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับความร่ำรวยและความสำเร็จมากเกินไปอย่างไร และเราจะปรับสมดุลชีวิตของเราให้ดีขึ้นได้อย่างไร?
2. ปัญญาจารย์ย้ำเตือนถึงความเป็นจริงของความตายและความไม่แน่นอนของชีวิต เราจะนำคำสอนนี้มาใช้เพื่อปรับมุมมองต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างไร และเราจะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร?
ปัญญาจารย์ บทที่ 7 เป็นบทที่ให้ข้อคิดเชิงปรัชญาและคำแนะนำเชิงปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ผู้เขียน (ซึ่งเชื่อว่าเป็นโซโลมอน) สะท้อนถึงคุณค่าของสติปัญญา การรู้จักตนเอง และการยอมรับความเป็นจริงของชีวิต แม้จะมีข้อสรุปที่ออกไปทางอนิจจังบ้าง แต่ก็ยังให้แนวทางในการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ ข้อคิดสำคัญที่เราได้จากบทนี้มีดังนี้:
1. ชื่อเสียงดีมีค่ายิ่งกว่าน้ำมันหอม
"ชื่อเสียงดีประเสริฐกว่าน้ำมันหอมอย่างดี และวันตายประเสริฐกว่าวันเกิด" (ปัญญาจารย์ 7:1) นี่คือการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและสร้างชื่อเสียงที่ดี เพราะสิ่งเหล่านี้จะคงอยู่แม้ร่างกายจะดับไป และวันตายก็เป็นจุดสูงสุดของการเดินทางชีวิตที่ชื่อเสียงและความดีจะถูกตัดสิน ดังเช่นคำพูดของนักการเมืองไทย “ตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานอยู่ตลอดไป”
2. ความโศกเศร้ามีคุณค่ามากกว่าการเฉลิมฉลอง
"การไปบ้านที่มีการไว้ทุกข์ก็ดีกว่าการไปบ้านที่มีการเลี้ยงฉลอง เพราะนั่นคือจุดจบของทุกคน และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ควรไตร่ตรองเรื่องนี้" (ปัญญาจารย์ 7:2) ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าความเศร้าโศกและการเผชิญหน้ากับความตายช่วยให้เราได้ไตร่ตรองถึงความจริงของชีวิต ความไม่เที่ยงแท้ และความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ต่างจากการเฉลิมฉลองที่มักจะทำให้เราหลงลืมความจริงเหล่านี้ไป
3. สติปัญญาดีกว่าความหัวเราะ
"ความโศกเศร้าดีกว่าการหัวเราะ เพราะเมื่อใบหน้าเศร้าใจ จิตใจก็ดีขึ้น" (ปัญญาจารย์ 7:3) นี่ไม่ได้หมายความว่าห้ามหัวเราะ แต่เป็นการเน้นว่าการเผชิญหน้ากับความจริงที่เจ็บปวด หรือความทุกข์ยากในชีวิต สามารถนำไปสู่การเติบโตทางปัญญาและวุฒิภาวะทางอารมณ์ได้มากกว่าการหลีกหนีความจริงด้วยความสนุกสนานผิวเผิน
4. คุณค่าของคำตักเตือนจากปราชญ์
"ฟังคำตักเตือนจากผู้มีปัญญาก็ดีกว่าฟังเพลงของคนโง่" (ปัญญาจารย์ 7:5) ผู้เขียนเน้นว่าคำตักเตือน คำแนะนำ หรือแม้แต่การตำหนิจากผู้มีสติปัญญา มีประโยชน์ต่อชีวิตของเรามากกว่าคำยกยอหรือความบันเทิงที่ไร้สาระ ซึ่งมักจะนำไปสู่ความหลงผิด
5. ระวังความโลภและอารมณ์ฉุนเฉียว
"การบีบบังคับทำให้คนมีปัญญาเป็นคนโง่ และสินบนก็ทำให้จิตใจเสื่อมทราม" (ปัญญาจารย์ 7:7) และ "อย่าเพิ่งโกรธง่าย เพราะความโกรธสิงอยู่ในอกของคนโง่" (ปัญญาจารย์ 7:9) บทนี้เตือนถึงอันตรายของความโลภ การรับสินบน และอารมณ์โกรธ ที่สามารถบิดเบือนการตัดสินใจของคนฉลาดและนำไปสู่ความหายนะได้
6. สติปัญญาเป็นที่ลี้ภัย
"สติปัญญาก็ดีเหมือนมรดก และเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เห็นดวงอาทิตย์" (ปัญญาจารย์ 7:11) และ "เพราะสติปัญญาให้ความคุ้มครอง เหมือนเงินให้ความคุ้มครอง แต่คุณค่าของความรู้ก็คือ สติปัญญาช่วยรักษาชีวิตของผู้มีสติปัญญา" (ปัญญาจารย์ 7:12) สติปัญญาถูกเปรียบเสมือนป้อมปราการที่ให้การคุ้มครองและช่วยรักษาชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน
7. การยอมรับความจริงของชีวิต
"จงพิจารณาการงานของพระเจ้า ใครเล่าจะทำให้สิ่งที่พระองค์ทำให้คดตรงไปได้? ในวันดีก็จงชื่นชมยินดี และในวันร้ายก็จงพิจารณา เพราะพระเจ้าทรงกระทำทั้งสองสิ่งนี้เพื่อมนุษย์จะได้ไม่ค้นพบสิ่งใดที่มาภายหลังตนเอง" (ปัญญาจารย์ 7:13-14) ผู้เขียนกระตุ้นให้เรายอมรับความเป็นจริงของชีวิตที่มีทั้งด้านดีและด้านร้าย เราควรชื่นชมยินดีในยามสุข และไตร่ตรองในยามทุกข์ โดยตระหนักว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า
8. อย่าพยายามเป็นคนชอบธรรมหรือคนชั่วร้ายเกินไป
"อย่าชอบธรรมเกินไป และอย่าฉลาดเกินไป ทำไมเจ้าจึงควรทำลายตัวเอง? อย่าชั่วร้ายเกินไป และอย่าโง่เกินไป ทำไมเจ้าจึงควรตายก่อนเวลาอันควร?" (ปัญญาจารย์ 7:16-17) นี่คือคำแนะนำให้ใช้ชีวิตอย่างสมดุล ไม่สุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่ง การพยายามเป็นคนสมบูรณ์แบบเกินไปอาจนำไปสู่ความผิดหวัง ในขณะที่การทำชั่วมากเกินไปก็นำไปสู่หายนะ ผู้เขียนสอนให้เราดำเนินชีวิตด้วยความพอดีและยอมรับความไม่สมบูรณ์ของตนเองและผู้อื่น แต่ไม่ได้ส่งเสริมให้ทำชั่วเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ให้ละความชั่วลง
ปัญญาจารย์ บทที่ 7 จึงเป็นการให้สติปัญญาในการเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิต การเลือกใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด และการยอมรับทั้งด้านดีและด้านร้ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตในโลกนี้ได้อย่างมีความหมาย แม้ว่าจะมีความอนิจจังเป็นพื้นฐานก็ตาม