เรื่องย่อ
อิสยาห์ 13-17 เป็นบทพยากรณ์ที่เต็มไปด้วยภาพของการทำลายล้างและการลงโทษของพระเจ้าต่ออาณาจักรต่าง ๆ ที่ละเมิดธรรมบัญญัติ เช่น การพยากรณ์ถึงการทำลายบาบิโลนและชนชาติอื่น ๆ ที่ทำความชั่วร้าย โดยพระเจ้าทรงเตือนให้ชาวอิสราเอลเตรียมใจรับความทุกข์และความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นความยุติธรรมของพระเจ้าที่จะลงโทษความบาปและความหยิ่งทะนง แต่ก็แฝงไว้ด้วยคำหวังว่าจะมีการฟื้นฟูและความหวังในอนาคต เมื่อชนชาติกลับใจและยอมรับพระองค์ การพยากรณ์เหล่านี้เป็นการเตือนใจให้พวกเขาระวังผลของความไม่เชื่อฟังและย้ำเตือนถึงความเมตตาของพระเจ้าที่จะนำความสุขและความสงบสุขกลับมาในเวลาที่เหมาะสม
อิสยาห์เตือนประชากรของพระเจ้าถึงบาปของพวกเขา และยังพยากรณ์ถึงประชาชาติที่ไม่เชื่อพระเจ้า เริ่มต้นจากบาบิโลน ซึ่งเป็นมหาอำนาจที่ในที่สุดจะจับยูดาห์ไปเป็นเชลย พระเจ้าทรงประกาศการพิพากษาบาบิโลนสำหรับสิ่งที่พวกเขายังไม่ได้ทำ แสดงให้เห็นอธิปไตยของพระเจ้า พระองค์ทรงอ้างถึงบาบิโลนว่าเป็น "ผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ของเรา" โดยทรงเจตนาจะใช้บาปของพวกเขาเพื่อทำให้แผนการระยะยาวของพระองค์สำเร็จเพื่ออวยพรประชากรของพระองค์ แม้ว่าบาบิโลนจะคิดว่าพวกเขากำลังกระทำการตามเจตจำนงเสรีของตนเอง แต่พวกเขากำลังเติมเต็มแผนการของพระเจ้า และแม้ว่าพระเจ้าจะทรงใช้บาปของพวกเขาเพื่อพระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ พระองค์ก็ยังคงลงโทษพวกเขาสำหรับมัน
อนาคตของบาบิโลนและการทำลายล้างของยูดาห์นั้นแตกต่างกันอย่างมาก บาบิโลนจะต้องเผชิญกับการพิพากษาและการร้างเปล่า ในขณะที่ยูดาห์จะได้รับการฟื้นฟู จากนั้นผู้คนจากบาบิโลน ซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจปกครองทั้งหมดของโลก จะผูกพันตนเองกับชาวอิสราเอลที่ได้รับการฟื้นฟูและรับใช้พวกเขา อิสยาห์กล่าวว่ากษัตริย์แห่งบาบิโลนจะสูญเสียอำนาจเนื่องจากความเย่อหยิ่งของเขา โดยเปรียบเทียบสถานการณ์ของกษัตริย์กับทูตสวรรค์ชั้นสูงลูซิเฟอร์ที่ถูกขับออกจากสวรรค์เพราะต้องการเป็นพระเจ้ามากกว่ารับใช้พระเจ้า คำพยากรณ์นี้ยังคล้ายกับเอเสเคียล 28:11–17 ซึ่งสนับสนุนแนวคิดเดียวกันนี้
นอกจากนี้ อิสยาห์ยังพยากรณ์ถึงอัสซีเรีย ผู้ซึ่งจะถูกลงโทษสำหรับการกดขี่อิสราเอล หลังจากนั้น อิสยาห์เตือนชาวฟีลิสเตียว่าพระเจ้าจะทรงปกป้องผู้ที่ศรัทธาในพระองค์เท่านั้น และความรอดพ้นของพวกเขาจะไม่ยั่งยืน คำพยากรณ์ถึงโมอับแสดงให้เห็นถึงความเศร้าโศกของพระเจ้าต่อการทำลายล้างของโมอับ ซึ่งอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับชาวอิสราเอล อย่างไรก็ตาม โมอับจะต้องเผชิญกับการพิพากษาสำหรับบาปของพวกเขา การโศกเศร้าของพระเจ้าเมื่อจำเป็นต้องลงโทษบาปเปิดเผยให้เห็นถึงความเป็นบุคคลของพระองค์ คำพยากรณ์สุดท้ายเกี่ยวกับดามัสกัสกล่าวว่าเมืองนี้จะกลายเป็นกองซากปรักหักพัง แต่จะมีผู้รอดชีวิตที่นี่ เพราะเอฟราอิม (เผ่าอิสราเอล) และดามัสกัสได้รวมเข้ากับชนชาติที่ไม่นับถือพระเจ้า พระเจ้าทรงเมตตาพวกเขาโดยการรักษาผู้รอดชีวิตที่จะกลับมานมัสการพระองค์
ข้อคิด: อิสยาห์ 13-17
ความโศกเศร้าของพระเจ้าต่อการทำลายล้างของโมอับ ดังที่เห็นได้จากคำกล่าวที่ว่า "เราจะรดเจ้าด้วยน้ำตาของเรา" แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อของพระองค์ที่มีต่อชนชาติที่ไม่เชื่อพระเจ้าที่ปฏิเสธพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันในพันธสัญญาเดิม สิ่งนี้เน้นย้ำว่าพระลักษณะของพระองค์ยังคงสอดคล้องกันเสมอ ทั้งในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ และสอดคล้องกันในตัวเองเช่นกัน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน และพระองค์ทรงเป็นที่ซึ่งความชื่นชมยินดีอยู่!
คำถาม
1. อิสยาห์ 13-17 เตือนให้ระวังการใช้ความรุนแรงและความอยุติธรรมในสังคม ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวายและความทุกข์ยากในชีวิตปัจจุบัน เราจะสามารถนำคำสอนเหล่านี้มาใช้เพื่อสร้างสังคมที่มีความยุติธรรมและสงบสุขได้อย่างไร?
2. ในบทอิสยาห์ 14-17 มีการเน้นความหวังในการฟื้นฟูและการกลับคืนสู่ความดีของพระเจ้า ครอบครัวในยุคปัจจุบันควรนำแนวคิดเรื่องความหวังและการกลับใจมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างไร?
อิสยาห์ บทที่ 17 เป็นบทเผยพระวจนะที่สำคัญที่เน้นการพิพากษาของพระเจ้าต่อดามัสกัส (เมืองหลวงของซีเรีย) และอาณาจักรอิสราเอลตอนเหนือ (เอฟราอิม) ที่ได้ร่วมมือกันต่อต้านยูดาห์ (อิสราเอลตอนใต้) และที่สำคัญคือได้หันหลังให้กับพระเจ้า
นี่คือข้อคิดสำคัญจากอิสยาห์บทที่ 17:
1. การพิพากษาของพระเจ้าต่อความเย่อหยิ่งและการหันหลังให้พระองค์
บทนี้เริ่มต้นด้วยคำพยากรณ์ถึงการทำลายดามัสกัส เมืองที่มีความเข้มแข็งจะกลายเป็นกองซากปรักหักพัง รวมถึงเมืองต่างๆ ของอาโรเออร์ก็จะถูกทิ้งร้าง การพิพากษานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ดามัสกัส แต่อิสราเอลตอนเหนือ (เอฟราอิม) ก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาได้ลืมพระเจ้าแห่งความรอดและไม่ได้จดจำพระศิลาอันเป็นที่พึ่งพิงของพวกเขา (อิสยาห์ 17:1-3, 10)
- ข้อคิด: ไม่ว่าอาณาจักรหรือผู้ใดจะยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเพียงใด หากพวกเขาหันหลังให้กับพระเจ้าและพึ่งพาตนเองหรือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระองค์ สุดท้ายแล้วจะต้องเผชิญกับการพิพากษาของพระองค์ ความเย่อหยิ่งและการไม่จดจำพระคุณของพระเจ้าเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความพินาศ
2. การฟื้นฟูและความหวังสำหรับผู้ที่กลับใจ
แม้จะมีการทำลายล้าง แต่บทนี้ก็ยังมีข้อความแห่งความหวัง ในวันนั้น ผู้คนจะ "วางใจในองค์ผู้สร้างและจะมองดูองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล" (อิสยาห์ 17:7) พวกเขาจะไม่พึ่งพาแท่นบูชาหรือรูปเคารพที่สร้างขึ้นด้วยมือของตนเองอีกต่อไป สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงการกลับใจและหันกลับมาหาพระเจ้า
- ข้อคิด: แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด หรือเมื่อเผชิญกับการพิพากษาของพระเจ้า ยังคงมีโอกาสสำหรับการกลับใจและหันกลับมาหาพระองค์เสมอ พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้ผู้ที่สำนึกผิดและแสวงหาพระองค์อย่างแท้จริง
3. ความไร้ประโยชน์ของสิ่งปลูกสร้างที่ปราศจากพระเจ้า
พระคัมภีร์กล่าวว่า แม้พวกเขาจะปลูกพืชพันธุ์ที่ดีที่สุดและเถาองุ่นจากต่างแดน และทำให้มันงอกขึ้นได้รวดเร็ว แต่เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว ผลผลิตก็จะหนีหายไปในวันแห่งความเศร้าและความเจ็บปวด (อิสยาห์ 17:10-11) นี่เป็นภาพสะท้อนถึงความพยายามของมนุษย์ที่พึ่งพาความสามารถและสิ่งปลูกสร้างของตนเอง โดยปราศจากพระพรและพระประสงค์ของพระเจ้า
- ข้อคิด: ความสำเร็จใดๆ ที่ไม่ได้สร้างอยู่บนพื้นฐานของพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์นั้น ไม่ยั่งยืนและสุดท้ายจะนำมาซึ่งความผิดหวังและความเจ็บปวด การพึ่งพากำลังของตนเองโดยปราศจากพระเจ้าเป็นความว่างเปล่า
4. อำนาจสูงสุดของพระเจ้าเหนือประชาชาติ
อิสยาห์ 17:12-14 บรรยายถึงเสียงกระหึ่มของประชาชาติมากมายที่ดังเหมือนเสียงทะเลที่คึกคะนอง แต่เมื่อพระเจ้าตรัสห้าม พวกเขาก็จะหนีกระเจิงไปเหมือนแกลบต้องลม นี่แสดงให้เห็นถึงอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชนชาติทั้งปวง
- ข้อคิด: ไม่มีอำนาจใดในโลกที่สามารถยืนหยัดต่อต้านพระเจ้าได้ พระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งและสามารถทำให้แผนการของมนุษย์ที่เย่อหยิ่งต้องพังทลายลงได้ในพริบตา
อิสยาห์บทที่ 17 เตือนให้เรา ตระหนักถึงการพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง ละทิ้งความเย่อหยิ่งและการพึ่งพาสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ และหันกลับมาหาพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้สร้างและผู้ทรงอำนาจสูงสุด เพื่อที่เราจะได้รับพระพรและความรอดที่แท้จริง