เรื่องย่อ
อิสยาห์ 18-22 เล่าเรื่องการเตือนของพระเจ้าต่อชนชาติและเมืองต่าง ๆ ที่ละเมิดพระบัญญัติและมีความหยิ่งทะนง พระเจ้าทรงประกาศความพินาศแก่อำนาจของอียิปต์และอัสซีเรีย พร้อมทั้งเตือนให้ชาวอิสราเอลระวังความหยิ่งธรรมดาและละทิ้งความไว้วางใจในพระเจ้าแทนที่จะหวังพึ่งพาอำนาจภายนอก ในขณะเดียวกันก็มีคำพยากรณ์ถึงการฟื้นฟูและการรอคอยพระเมสสิยาห์ที่จะนำความหวังและความสุขกลับสู่แผ่นดิน เรื่องราวนี้เป็นการเตือนใจให้รู้คุณค่าของความอ่อนน้อมถ่อมตนและความศรัทธาต่อพระเจ้า เป็นบทเรียนสำคัญต่อการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและความเชื่อในพระองค์เพื่อความรอดและความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต
อิสยาห์พยากรณ์ถึงประชาชาติที่ไม่เชื่อพระเจ้าที่อยู่รอบข้างยูดาห์ เริ่มต้นด้วยชนชาติลึกลับที่อยู่ "เลยแม่น้ำแห่งคูชไป" หรือเอธิโอเปียในปัจจุบัน อิสยาห์เตือนพวกเขาและคนทั่วโลกว่าการพิพากษากำลังจะมาถึง และในที่สุดแม้แต่ประชาชาติที่ไม่ใช่ยิวก็จะนำเครื่องบรรณาการมาถวายแด่พระยาห์เวห์และยอมรับอำนาจสูงสุดของพระองค์ ถัดมาคืออียิปต์ ประเทศที่เคยกดขี่อิสราเอลเป็นทาส พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทำให้สติปัญญาของพวกเขาสับสนและทำให้พวกเขาต่อสู้กันเอง แม้ว่าพระยาห์เวห์ทรงมีความเมตตา: เมืองห้าเมืองในอียิปต์จะพูดภาษาคานาอันและปฏิญาณตนต่อพระยาห์เวห์จอมทัพ พระยาห์เวห์จะทรงสำแดงพระองค์เองแก่ชาวอียิปต์ และจะมีทางหลวงจากอียิปต์ไปยังอัสซีเรีย และชาวอียิปต์จะนมัสการร่วมกับชาวอัสซีเรีย พระเจ้าทรงเรียกพวกเขาว่า "อียิปต์ ชนชาติของเรา" และ "อัสซีเรีย ผลงานแห่งมือของเรา" เคียงข้าง "อิสราเอล มรดกของเรา" เผยให้เห็นพระทัยของพระเจ้าสำหรับครอบครัวนานาชาติที่มีความหลากหลาย
ในช่วงกลางของคำพยากรณ์ อิสยาห์แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ร่วมสมัยโดยการถอดเสื้อผ้าและเดินเท้าเปล่าเป็นเวลาสามปีเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของวิธีที่อัสซีเรียจะพิชิตอียิปต์และคูช สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่อัสซีเรียโจมตีอัชโดด เมืองฟีลิสเตีย อิสยาห์ยังมีนิมิตเกี่ยวกับเปอร์เซียที่จะทำลายบาบิโลน ซึ่งพวกเขาทำได้ในอีกสองศตวรรษต่อมา ความโศกเศร้าของอิสยาห์ต่อการทำลายเมืองชั่วร้ายแสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจของเขา ซึ่งสะท้อนความโศกเศร้าของพระเจ้าเหนือโมอับ อิสยาห์ยังมีคำพยากรณ์สั้นๆ อีกหลายชุดสำหรับประชาชาติอื่นๆ ที่ประกาศถึงการทำลายล้างและเตือนว่า "รุ่งอรุณกำลังจะมา แต่จะตามมาด้วยราตรี"
คำพยากรณ์สุดท้ายนั้นมีไว้สำหรับเยรูซาเล็ม โดยอิสยาห์เศร้าใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะพยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเมือง แต่ก็จะไม่ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากการโจมตีเพราะพระเจ้าทรงวางแผนไว้แล้ว เมื่อยูดาห์ตระหนักว่าความพินาศใกล้เข้ามา พวกเขากลับใช้เวลาช่วงสุดท้ายไปกับการปล่อยตัวตามใจปรารถนา อิสยาห์ยังมีถ้อยคำที่รุนแรงสำหรับข้าราชบริพารของกษัตริย์ที่กำลังวางแผนสำหรับงานศพของตนเอง แต่พระเจ้าจะทรงขัดขวางเขา แล้วแต่งตั้งเอลียาคิมเป็นหัวหน้าคณะเสนาธิการคนใหม่แทนเขา
ข้อคิด: อิสยาห์ 18-22
การที่พระเจ้าตรัสกับอียิปต์ว่า "เราจะทำให้คำปรึกษาของเขาสับสน" และ "พระยาห์เวห์ทรงเทวิญญาณแห่งความสับสนลงในท่ามกลางเขา" เผยให้เห็นถึงอำนาจสูงสุดของพระองค์เหนือความคิดและคำพูด แม้ว่าแนวคิดนี้จะน่ายำเกรง แต่ก็เป็นกำลังใจได้เช่นกัน เพราะหากพระเจ้าไม่สามารถแทรกแซงความคิดได้ พระวิญญาณของพระองค์จะทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวลหรือเตือนเราถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสได้อย่างไร แม้ว่าความคิดทุกอย่างที่เราคิดจะไม่มาจากพระเจ้าโดยตรง แต่พระองค์ทรงเต็มพระทัยและสามารถกระตุ้นลูกๆ ของพระองค์ด้วยความคิดและพระวจนะของพระองค์ ขณะที่เราพยายามดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้พระวจนะของพระองค์เกิดผลในชีวิตของเรา! พระองค์ทรงเป็นที่ซึ่งความชื่นชมยินดีอยู่!
คำถาม
1. อิสยาห์ 18-22 เน้นความสำคัญของความรับผิดชอบและความซื่อสัตย์ในหน้าที่ การดำเนินชีวิตในครอบครัวในยุคปัจจุบันควรนำหลักการใดจากบทนี้มาใช้เพื่อส่งเสริมความรักและความเข้าใจระหว่างสมาชิกในครอบครัว?
2. ในบทอิสยาห์ 21-22 มีการพูดถึงความผิดหวังและความล้มเหลวของผู้นำและประชาชน การสร้างครอบครัวในยุคปัจจุบันควรมีคุณธรรมและค่านิยมใดบ้าง ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงและความสุขให้กับสมาชิกในครอบครัวในสังคมทั่วไปร่วมกัน?
อิสยาห์ บทที่ 22 เป็นคำพยากรณ์ที่กล่าวถึง "หุบเขาแห่งนิมิต" ซึ่งเป็นคำเปรียบเทียบถึงกรุงเยรูซาเล็ม การพยากรณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เยรูซาเล็มกำลังถูกคุกคามหรือกำลังจะถูกโจมตี อาจเป็นช่วงที่อัสซีเรียกำลังเคลื่อนทัพเข้ามาโจมตี ข้อคิดสำคัญจากบทนี้คือ:
1. ความหลงผิดในการพึ่งพาสิ่งฝ่ายโลกมากกว่าพระเจ้า
บทนี้บรรยายถึงสภาพของเยรูซาเล็มที่กำลังเผชิญหน้ากับการโจมตี ผู้คนเตรียมพร้อมรับมือด้วยวิธีการของมนุษย์ พวกเขารวบรวมน้ำ, ทำลายบ้านเพื่อสร้างกำแพง, ซ่อมแซมช่องโหว่ในกำแพงเมืองดาวิด, และเตรียมอาวุธ (อิสยาห์ 22:8-10) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขาดหายไปอย่างสิ้นเชิงคือ การหันไปหาพระเจ้า ผู้ทรงเป็นผู้สร้างและผู้ทรงกำหนดเหตุการณ์เหล่านี้
- ข้อคิด: เมื่อเราเผชิญกับวิกฤต มักเป็นธรรมชาติที่เราจะพยายามแก้ไขปัญหาด้วยกำลังและความสามารถของเราเอง แต่บทนี้เตือนให้เราพิจารณาว่า เรากำลังละเลยที่จะแสวงหาพระเจ้า ผู้ทรงเป็นแหล่งแห่งความช่วยเหลือที่แท้จริงหรือไม่ การพึ่งพาสติปัญญาและทรัพยากรของโลกเพียงอย่างเดียว โดยปราศจากการพึ่งพาพระเจ้า คือความหลงผิดที่อาจนำไปสู่หายนะ
2. การตัดสินใจที่ผิดพลาดและการไม่สำนึกผิด
พระเจ้าทรงเรียกพวกเขาให้ร้องไห้ไว้ทุกข์, โกนศีรษะ, และสวมผ้ากระสอบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการกลับใจ (อิสยาห์ 22:12) แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขากลับเลือกที่จะ "มีความยินดีและสนุกสนาน" กินเนื้อและดื่มเหล้า โดยพูดว่า "พรุ่งนี้เราจะตายแล้ว ก็ให้เรากินดื่มกันเถอะ" (อิสยาห์ 22:13) การไม่แยแสต่อการทรงเรียกของพระเจ้าและการมุ่งแสวงหาความสุขชั่วคราว แสดงถึงจิตวิญญาณที่ดื้อรั้นและไม่สำนึกผิด
- ข้อคิด: การเผชิญหน้ากับความยากลำบากควรเป็นช่วงเวลาที่เราตรวจสอบจิตใจและหันกลับมาหาพระเจ้า แต่บางครั้งมนุษย์กลับเลือกที่จะหนีปัญหาด้วยการหลงระเริง หรือปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับความจริง การไม่ยอมรับความผิดพลาดและไม่สำนึกในบาปเป็นการปิดกั้นตัวเองจากพระเมตตาของพระเจ้า
3. การพิพากษาต่อผู้นำที่หยิ่งผยองและไร้ความสามารถ
บทนี้ยังกล่าวถึงการปลด เชบนา ผู้ดูแลพระราชวัง และการแต่งตั้ง เอลียาคิม ขึ้นมาแทนที่ (อิสยาห์ 22:15-25) เชบนาถูกวิจารณ์ว่าสร้างหลุมศพที่ยิ่งใหญ่ให้ตัวเองและมีความเย่อหยิ่ง ซึ่งสะท้อนถึงผู้นำที่มุ่งแสวงหาเกียรติของตนเองมากกว่าผลประโยชน์ของประชาชนและพระประสงค์ของพระเจ้า
- ข้อคิด: พระเจ้าทรงเฝ้าดูการกระทำของผู้นำ การที่พระองค์ทรงปลดเชบนาแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าจะไม่ทรงทนต่อผู้นำที่เห็นแก่ตัว หยิ่งผยอง หรือไร้ความสามารถในการนำประชาชนตามทางของพระองค์ ผู้ที่ได้รับอำนาจควรตระหนักว่าอำนาจนั้นมาจากพระเจ้า และควรใช้เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์และรับใช้ผู้อื่นอย่างถ่อมใจ
อิสยาห์ บทที่ 22 เป็นบทที่เตือนใจเราถึงอันตรายของการ พึ่งพาตนเองและสิ่งฝ่ายโลกมากเกินไป การไม่สำนึกผิดต่อพระเจ้า และผลของการมีผู้นำที่ไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ บทเรียนสำคัญคือการที่เราควรหันมาพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริงในทุกสถานการณ์ และแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ในการตัดสินใจทุกเรื่อง