เรื่องย่อ
เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเยรูซาเล็ม เนหะมีย์ได้ดำเนินการสำรวจสำมะโนประชากรและได้ส่งเสริมให้ประชากรหนึ่งในสิบย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง นอกเหนือจากนี้ ก็ยังมีบัญชีรายชื่อของปุโรหิต เลวี และเจ้าหน้าที่พระวิหาร สดุดี 126 สะท้อนความยินดีและการฟื้นฟูของประชากรที่กลับมายังซีโยน สิ้นสุดการกักขังของพวกเขา เนหะมีย์เดินทางกลับไปรับใช้กษัตริย์แห่งเปอร์เซียอยู่พักหนึ่ง และเมื่อเขากลับมายังเยรูซาเล็ม เขาพบว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นมากมาย เขาได้ลงโทษชาวอิสราเอลที่แต่งงานกับหญิงต่างชาติ ซึ่งขัดแย้งกับการที่พวกเขาทำพันธสัญญาไว้ และเขาก็กำจัดเครื่องเรือนของโทบียาห์ออกจากห้องพระวิหาร นอกจากนี้ เขายังบังคับให้รักษาวันสะบาโตและตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนเลวีได้รับการเลี้ยงดูตามที่ควรจะได้รับ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเนหะมีย์ในการบังคับใช้กฎหมายของพระเจ้าและรักษาความบริสุทธิ์ของชุมชนอิสราเอล
บรรดาผู้นำอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม แต่พวกเขาต้องการให้คนอื่นๆ มาอาศัยอยู่ที่นั่นด้วย อาจเป็นเพราะต้องการกำลังทหารที่เข้มแข็งไว้ โดยการจับสลาก ผู้คน 10 เปอร์เซ็นต์ถูกเลือกให้ย้ายเข้าไปในเมือง ในขณะที่คนอื่นๆ สมัครใจไป หลังจากที่เนหะมีย์และกลุ่มผู้สนับสนุนได้จัดพิธีเปิดก่อสร้างกำแพงอย่างยิ่งใหญ่ พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เดินตามกำแพงที่กว้างขวางรอบเมือง และไปยังพระวิหาร พร้อมทั้งถวายเครื่องบูชาและสรรเสริญอย่างเสียงดังจนเมืองใกล้เคียงได้ยิน สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองเก่า ซึ่งทุกคนรู้สึกตื่นเต้นและหวังว่าการดำเนินการนี้จะนำพาให้พวกเขากลับมาเป็นประชาชาติที่เข้มแข็งและเชื่อฟังพระเจ้าอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน โทบียาห์ผู้ว่าราชการเพื่อนบ้าน ได้กลับมาและพยายามขัดขวางความก้าวหน้าของเนหะมีย์ โดยวางแผนสร้างห้องในลานพระวิหารและพยายามทำลายความพยายามของเขา เขายังมีความพยายามไม่ให้คนเลวีและนักร้องได้รับค่าจ้างตามที่สัญญาไว้ เขาเลือกที่จะหักหน้าสัญญาและละเมิดกฎของวันสะบาโต โดยเนหะมีย์ต้องเข้ามาแก้ไขและจัดการกับความผิดปกติเหล่านี้อย่างรุนแรง เขาต้องต่อสู้เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นธรรมในชุมชน แม้จะเห็นว่ามันจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นก็ตาม
แม้การฟื้นฟูภายนอกจะดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ แต่ภายในจิตใจของชาวอิสราเอลยังคงเต็มไปด้วยความใจหิน และยังคงดำเนินชีวิตแบบเดิม พวกเขาย้ายที่อยู่แต่ยังคงนำใจหินไปด้วย ในบทบทสดุดีที่ 126 เป็นการสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงนำการฟื้นฟูกลับมา แต่ก็ยอมรับว่ายังมีสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มจากใจของพวกเขาเอง ซึ่งต้องการใจเนื้อใหม่ตามคำสัญญาของพระเจ้า ที่จะนำความสุขและความหวังมายังคู่ชีวิตของพวกเขาในอนาคต
ข้อคิด: เนหะมีย์ 11-13; สดุดี 126
“ในวันนั้น พวกเขาถวายเครื่องบูชามากมายและเปรมปรีดิ์ เพราะพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาเปรมปรีดิ์อย่างยิ่ง” (12:43) พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาเปรมปรีดิ์อย่างยิ่ง พระองค์ทรงทำเช่นนั้นได้อย่างไร? พระองค์ทรงบังคับให้พวกเขาเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งหรือ? พระองค์ทรงขู่พวกเขาด้วยการลงโทษหากพวกเขาไม่เต็มไปด้วยความยินดีหรือ? คุณไม่สามารถบังคับให้ใครบางคนมีความยินดีได้ คุณอาจจะสามารถบังคับให้ใครบางคนแสดงท่าทีว่ามีความยินดีได้ แต่คุณไม่สามารถบังคับให้พวกเขามีความยินดีได้อย่างแท้จริง เมื่อกล่าวว่าพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาเปรมปรีดิ์อย่างยิ่ง นั่นเป็นข้อพิสูจน์ถึงการทรงงานของพระองค์ในพวกเขาในระดับจิตใจ—พระองค์ทรงสร้างความยินดีในพวกเขาที่พวกเขาจะไม่มีได้หากปราศจากพระองค์ ใช่ พวกเขายังคงมีหนทางอีกยาวไกล และพวกเขายังคงล้มเหลวและละเมิดกฎหมายของพระองค์ แต่ในส่วนลึกของจิตใจพวกเขารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นที่ซึ่งมีความยินดี!
คำถาม
1. ความสัตย์ซื่อในงานประจำ: เนหะมีย์มุ่งเน้นไปที่ความสัตย์ซื่อในการจัดการเรื่องต่างๆ ของเยรูซาเล็มและบังคับใช้กฎหมายของพระเจ้าในบทที่ 11-13 มีคุณค่าอะไรบ้างสำหรับเราในปัจจุบันเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตตามความเชื่อของเราอย่างสัตย์ซื่อในหน้าที่การงานและหน้าที่ประจำวันของเรา
2. ความชื่นชมยินดีในการกอบกู้: สดุดี 126 สะท้อนให้เห็นถึงความชื่นชมยินดีและความหวังที่มาจากการกอบกู้ของพระเจ้า สิ่งนี้เชื่อมโยงกับประสบการณ์ของเราในฐานะผู้เชื่ออย่างไร เราจะรักษามุมมองแห่งความชื่นชมยินดีและความหวังในสถานการณ์ที่ท้าทายได้อย่างไร
สดุดีบทที่ 126 เป็นบทเพลงสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของความชื่นชมยินดีและความหวัง เป็นบทที่รำลึกถึงเหตุการณ์ที่ชาวอิสราเอลได้กลับจากเป็นเชลยในบาบิโลน และในขณะเดียวกันก็เป็นการอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงนำคนของพระองค์กลับมาอย่างสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง จากบทนี้ เราได้ข้อคิดที่สำคัญดังนี้:
1. ความชื่นชมยินดีเมื่อพระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์
สดุดีบทนี้เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า “เมื่อพระยาห์เวห์ทรงให้พวกเรากลับสู่ศิโยน พวกเราก็เหมือนคนในความฝัน” (ข้อ 1) และ “ปากของพวกเราเต็มด้วยเสียงหัวเราะ และลิ้นของพวกเราเต็มด้วยเสียงโห่ร้องยินดี” (ข้อ 2) นี่คือภาพของความสุขที่ล้นเหลือเมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยประชากรของพระองค์ให้เป็นอิสระ ข้อคิดคือ เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา ความรู้สึกยินดีที่เกิดขึ้นนั้นจะยิ่งใหญ่จนไม่สามารถบรรยายได้ และทำให้เราตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นพระหัตถ์ของพระองค์จริงๆ
2. ความหวังในการรอคอยการเก็บเกี่ยว
ช่วงครึ่งหลังของบทเพลงนี้เป็นการอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงนำส่วนที่เหลือของประชากรกลับมา “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงให้พวกเรากลับมาอีกเหมือนธารน้ำในเนเกบ” (ข้อ 4) และให้คำมั่นว่า “ผู้ที่หว่านด้วยน้ำตาจะได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องยินดี” (ข้อ 5) นี่คือข้อคิดที่ทรงพลังเกี่ยวกับ ความอดทนและความหวังในการรอคอย ผู้ที่ต้องผ่านความยากลำบากและหว่านด้วยน้ำตา (การทนทุกข์) จะได้รับการตอบแทนด้วยความชื่นชมยินดีในการเก็บเกี่ยว (ผลแห่งความสัตย์ซื่อ) นี่เป็นคำสัญญาที่ให้กำลังใจว่าการทนทุกข์ในปัจจุบันจะนำมาซึ่งความสุขในอนาคตเสมอ
3. วงจรของการทนทุกข์และความชื่นชมยินดี
สดุดีบทนี้แสดงให้เห็นถึงวงจรของชีวิตที่ประกอบด้วยทั้งช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก (การเป็นเชลย) และช่วงเวลาแห่งความยินดี (การปลดปล่อย) การที่ชาวอิสราเอลจำได้ว่าพวกเขามาจากความยากลำบาก ทำให้พวกเขาเห็นคุณค่าของความสุขที่ได้รับในปัจจุบัน และในขณะเดียวกันก็สร้างความหวังสำหรับการกลับมาอย่างสมบูรณ์ในอนาคต นี่สอนให้เราตระหนักว่า ความทุกข์ไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุด แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางที่นำไปสู่ชัยชนะและความชื่นชมยินดีที่ยิ่งใหญ่กว่า
สดุดี 126 เตือนใจเราว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำการอัศจรรย์ในชีวิตของเรา และความยินดีที่พระองค์ประทานให้ก็เป็นสิ่งที่น่าจดจำและควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง นอกจากนี้ยังให้กำลังใจเราว่าความยากลำบากที่เราเผชิญอยู่เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง และหากเรายังคงหว่านด้วยความหวัง ในที่สุดเราจะได้เก็บเกี่ยวด้วยความชื่นชมยินดีอย่างแน่นอน