เรื่องย่อ
มัทธิว 4 และลูกา 4-5 บอกเล่าเรื่องราวเริ่มต้นที่น่าตื่นเต้นของการปฏิบัติศาสนกิจของพระเยซูบนโลก โดยเริ่มจากการเผชิญหน้าอันหนักหน่วงของพระองค์กับซาตานในถิ่นทุรกันดาร การล่อลวงของพระเยซูเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นแน่วแน่ของพระองค์ต่อพระประสงค์ของพระบิดา แม้จะต้องเผชิญกับการล่อใจอย่างหนัก หลังจากการล่อลวง พระเยซูทรงเริ่มการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ในกาลิลี โดยทรงเทศนาถึงข่าวประเสริฐและทรงรักษาผู้ป่วย การสอนของพระองค์และการรักษาอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ดึงดูดฝูงชนจำนวนมากและสร้างความตกตะลึงให้แก่บรรดาผู้นำทางศาสนา ลูกา 5 เน้นถึงการเรียกเหล่าสาวกแรกของพระเยซู ซึ่งเป็นชาวประมงที่ทิ้งทุกสิ่งเพื่อติดตามพระองค์ การเชื่อฟังของพวกเขาและศรัทธาต่อพระเยซูแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของพระองค์และการเริ่มต้นของภารกิจที่จะเปลี่ยนโลก
หลังจากการรับบัพติศมา พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อถูกทดลอง โดยที่พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับซาตานซึ่งมีเป้าหมายคือการทำให้แผนการไถ่บาปของพระเจ้าต้องล้มเหลว ความกลัวของซาตานที่มีต่อกางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความพ่ายแพ้นิรันดร์ของมันทำให้มันพยายามที่จะโน้มน้าวให้พระเยซูทรงเบี่ยงเบนจากเส้นทางนั้น ซาตานพยายามที่จะบิดเบือนความหมายของพระคัมภีร์ แต่พระเยซูทรงตอบโต้การบิดเบือนเหล่านั้นด้วยความจริงจากพระคัมภีร์
หลังจากอดอาหารเป็นเวลา 40 วัน พระเยซูเสด็จกลับไปยังแคว้นกาลิลี โดยที่พระองค์ทรงเริ่มพันธกิจของพระองค์ในเมืองนาซาเร็ธ พระองค์ทรงอ่านจากอิสยาห์และทรงประกาศว่าพระองค์คือความสำเร็จของคำพยากรณ์นั้น ถึงแม้ว่าคนในท้องถิ่นจะตื่นเต้นในตอนแรก แต่พวกเขาก็โกรธเมื่อพระเยซูทรงพูดถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อคนต่างชาติ พวกเขาปฏิเสธแนวคิดที่ว่าพระกิตติคุณจะมาถึงทุกคน ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น และถึงกับพยายามทำร้ายพระเยซู แต่พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงพวกเขาไปได้
พระเยซูทรงย้ายไปที่เมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ และทรงเรียกสาวกกลุ่มแรกของพระองค์ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่กำลังจับปลาอยู่ พวกเขาเคยล้มเหลวในการจับปลา แต่เมื่อพระเยซูทรงแนะนำ พวกเขาจับปลาได้มากมายอย่างน่าทึ่ง นอกจากนี้ พระเยซูยังทรงเรียกมัทธิวคนเก็บภาษีซึ่งเป็นที่รังเกียจในหมู่ชาวยิวเนื่องจากการทำงานให้กับจักรวรรดิโรมัน
ข้อคิด: มัทธิว 4; ลูกา 4-5
พระเยซูทรงเสาะหาผู้ที่ถูกปฏิเสธและถูกเกลียดชัง ผู้ที่ไม่เป็นที่ต้องการและไม่เป็นที่รัก โดยทรงชี้ไปยังเรื่องราวในพันธสัญญาเดิมที่เกี่ยวกับการรักษาและการจัดเตรียมสำหรับคนต่างชาติ และทรงประกาศว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อนำอิสรภาพ เสรีภาพ และข่าวดีมาสู่คนเหล่านั้น ซึ่งเป็นข้อความที่น่าให้กำลังใจสำหรับผู้ที่ถูกกดขี่และถูกจองจำ พระเยซูทรงตระหนักดีว่าชาวนาซาเร็ธจะปฏิเสธพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงทำนายไว้ในลูกา 4 แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังเสด็จมาเพื่อถูกปฏิเสธโดยผู้ที่พระองค์ทรงรัก เพื่อสัมผัสความเจ็บปวดของพวกเขา และเพื่อนำพวกเขาออกจากพันธนาการไปสู่ความยินดีและความสัมพันธ์กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นแหล่งแห่งความยินดีนั้น
คำถาม
1. การล่อลวงของพระเยซูในถิ่นทุรกันดารแสดงให้เห็นว่าแม้แต่พระบุตรของพระเจ้ายังต้องเผชิญหน้ากับการล่อลวง เราจะเตรียมพร้อมและต่อต้านการล่อลวงในชีวิตของเราได้อย่างไร
2. การเรียกสาวกครั้งแรกของพระเยซูในลูกา 5 แสดงให้เห็นถึงความเต็มใจของพวกเขาที่จะทิ้งทุกสิ่งเพื่อติดตามพระองค์ ความหมายของการเป็นสาวกที่แท้จริงคืออะไร และเราจะจัดลำดับความสำคัญของการติดตามพระเยซูเหนือความทะเยอทะยานและความสะดวกสบายของเราได้อย่างไร?
ลูกา บทที่ 4 เป็นบทที่สำคัญมาก เพราะเล่าถึงการเริ่มต้นพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ โดยมีเหตุการณ์สำคัญสองอย่างคือ การถูกทดลองในถิ่นทุรกันดาร และ การประกาศพันธกิจของพระองค์ในธรรมศาลาที่นาซาเร็ธ
จากบทที่ 4 นี้ เราสามารถสรุปข้อคิดที่สำคัญหลายประการสำหรับการดำเนินชีวิตได้ดังนี้:
1. การเอาชนะการทดลองด้วยพระวจนะของพระเจ้า
บทนี้เปิดเผยให้เห็นว่า พระเยซูทรงถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อถูกมารทดลอง (ลูกา 4:1-13)
- พระคัมภีร์คืออาวุธสำคัญ: พระเยซูทรงเผชิญหน้ากับการทดลองทั้งสามครั้งของมารด้วยการอ้างอิงและใช้ พระวจนะของพระเจ้าเสมอ (อ้างอิงจากเฉลยธรรมบัญญัติ) นี่เป็นแบบอย่างที่ชัดเจนสำหรับเราว่า ในช่วงเวลาที่เราอ่อนแอ ถูกล่อลวง หรือสับสน พระคัมภีร์คือมาตรฐานและพลังอำนาจที่ช่วยให้เราต้านทานการล่อลวงได้
- ลำดับความสำคัญของชีวิต: มารทดลองให้พระองค์เปลี่ยนก้อนหินเป็นขนมปังเพื่อตอบสนองความหิวฝ่ายร่างกาย แต่พระเยซูตอบว่า "มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำของพระเจ้า" (ลูกา 4:4) สอนเราว่า ชีวิตฝ่ายวิญญาณและความสัมพันธ์กับพระเจ้าสำคัญกว่าความต้องการทางกายภาพหรือความสะดวกสบาย
- การเลือกทำตามพระทัยพระบิดา: มารเสนอเส้นทางลัดสู่การครอบครองโลกและความสำเร็จ แต่พระเยซูปฏิเสธและยืนยันที่จะนมัสการและรับใช้พระเจ้าแต่องค์เดียวเท่านั้น (ลูกา 4:8) เราเองก็ต้องเลือกที่จะสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ไม่แสวงหาความสำเร็จในทางลัดหรือวิธีการที่ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์
2. การเข้าใจและประกาศพันธกิจที่แท้จริง
เมื่อพระเยซูทรงชนะการทดลองแล้ว พระองค์ก็ทรงเริ่มต้นพันธกิจอย่างเป็นทางการ โดยการอ่านพระคัมภีร์ในธรรมศาลาที่นาซาเร็ธ ซึ่งเป็นการประกาศ "ปฏิญญาพันธกิจ" (Declaration of Commitment) ของพระองค์ (ลูกา 4:14-21)
- พันธกิจขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณฯ: พระเยซูทรงเริ่มต้นพันธกิจ "ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์" (ลูกา 4:14) สอนเราว่าการรับใช้และการทำสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้าจะต้องมาจากการนำและพลังอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่จากความสามารถหรือความพยายามของเราเอง
- หัวใจของข่าวประเสริฐคือการปลดปล่อย: พระเยซูทรงประกาศถึงพันธกิจของพระองค์ตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ ซึ่งรวมถึงการประกาศข่าวดีแก่คนยากจน การประกาศอิสรภาพแก่เชลย การทำให้คนตาบอดมองเห็น และ การปลดปล่อยผู้ที่ถูกบีบคั้น (ลูกา 4:18-19) นี่คือภาพที่ชัดเจนของ ความรักและความเมตตาของพระเจ้า และพันธกิจของเราก็ควรสะท้อนหัวใจนี้ด้วย
- พระเจ้ามีเวลาและวาระของพระองค์: แม้ว่าฝูงชนในเมืองคาเปอรนาอุมจะต้องการให้พระองค์อยู่ต่อ แต่พระเยซูทรงปฏิเสธเพราะพระองค์ต้องไปประกาศข่าวดีในเมืองอื่นๆ ด้วย (ลูกา 4:42-44) นี่สอนเราถึงความสำคัญของการไม่ยึดติดกับ "Comfort Zone" (เขตสบาย) หรือความชื่นชมยินดีของผู้คน แต่ให้ทำตามแผนการและวาระเวลาของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด
3. การเผชิญหน้ากับปฏิกิริยาของผู้คน
พันธกิจของพระเยซูนำมาซึ่งปฏิกิริยาที่หลากหลายจากผู้คน
- ความคุ้นเคยนำไปสู่การปฏิเสธ: ผู้คนในเมืองนาซาเร็ธซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระองค์ ในตอนแรกต่างก็ทึ่งในถ้อยคำของพระองค์ แต่เมื่อพระองค์เริ่มชี้ให้เห็นถึงความไม่เชื่อและทิฐิของพวกเขา พวกเขาก็โกรธแค้นและพยายามจะฆ่าพระองค์ (ลูกา 4:22-30) ข้อคิดคือ การถือดีและทิฐิสามารถปิดตาฝ่ายวิญญาณของเราไม่ให้เห็นความจริง แม้ว่าความจริงนั้นจะมาจากคนที่เราคุ้นเคยหรือรู้จักดีก็ตาม
- อำนาจเหนือความมืดมิด: ในทางกลับกัน ที่เมืองคาเปอรนาอุม การสอนด้วยสิทธิอำนาจและการรักษาโรครวมถึงการขับผีออกไป (ลูกา 4:31-41) ทำให้ผู้คนประหลาดใจและยอมรับพระองค์ นี่เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจสูงสุดของพระเยซูเหนือทุกสิ่งในโลกนี้
ลูกา บทที่ 4 ให้ข้อคิดแก่เราในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ด้วยการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์และการเตรียมพร้อมรับมือกับการทดลอง โดยยึดพระวจนะเป็นหลัก รวมถึงการดำเนินชีวิตตามพันธกิจแห่งการปลดปล่อยและสัตย์ซื่อต่อแผนการของพระเจ้า แม้จะต้องเผชิญกับการถูกปฏิเสธก็ตาม