เรื่องย่อ
มัทธิว 15 และ มาระโก 7 เน้นถึงความขัดแย้งระหว่างพระเยซูกับผู้นำทางศาสนา โดยเน้นถึงความสำคัญของการกลับใจภายในมากกว่าการปฏิบัติตามธรรมเนียมภายนอก พระเยซูทรงตำหนิพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ที่ยึดติดกับธรรมเนียมของมนุษย์ในขณะที่ละเลยพระบัญญัติของพระเจ้า พระองค์ทรงสอนว่าสิ่งที่ทำให้คนเป็นมลทินไม่ใช่สิ่งที่เข้าไปในปาก แต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจ การรักษาบุตรสาวของหญิงชาวฟีนิเซียเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเมตตาของพระเยซูต่อคนต่างชาติ และความเชื่อของพระองค์สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ การรักษาคนหูหนวกพูดติดอ่างแสดงให้เห็นถึงอำนาจของพระเยซูในการตอบสนองความต้องการทั้งทางกายและทางวิญญาณของผู้ที่มาหาพระองค์ เรื่องราวเหล่านี้เน้นถึงความสำคัญของการนมัสการด้วยใจจริง และธรรมชาติสากลของพระคุณของพระเจ้า ซึ่งมีให้แก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์
วันนี้เราเริ่มต้นด้วยเรื่องที่พระเยซูทรงจัดการกับคำวิจารณ์ของพวกฟาริสี พวกเขาไม่พอใจที่เหล่าสาวกของพระองค์ไม่ได้ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร พระองค์ทรงตอบว่ากฎของพระเจ้ามีความสำคัญมากกว่าขนบธรรมเนียมที่มนุษย์สร้างขึ้น และเน้นให้เห็นว่าพวกเขาเน้นความถูกต้องภายนอกแต่ลืมรักและสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระเจ้า พระองค์ทรงอ้างอิงอิสยาห์เพื่อชี้ให้เห็นว่าพวกเขาแสดงความศักดิ์สิทธิ์ในทางภายนอก แต่ในใจกลับไม่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า
เมื่อพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกในส่วนลึกของใจ พระองค์เตือนว่าความบริสุทธิ์ไม่ได้มาจากการล้างมือแต่จากสิ่งที่ออกมาจากปากและใจของเรา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่สำคัญคือความชอบธรรมจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระองค์อธิบายว่าของกินและอาหารไม่เป็นไร ตามพระคัมภีร์ในมาระโก 7:19 พระองค์ประกาศว่าพระองค์ได้ทำความสะอาดสิ่งที่เคยถือว่าบาปของอาหารแล้ว และพวกเขาก็ไม่ควรปล่อยให้ความคิดผิดๆ เกี่ยวกับกฎหมายของชาวยิวกลายเป็นอุปสรรคต่อความเชื่อและความสัมพันธ์กับพระองค์
ต่อมาเมื่อพระองค์เดินทางไปยังดินแดนของคนต่างชาติ พระหญิงต่างชาติคนหนึ่งมาขอร้องให้พระองค์ช่วยลูกสาวที่ถูกผีสิง พระองค์ทรงรู้ดีว่าการสอบถามนี้เป็นการทดสอบความเชื่อของเธอ เธอเรียกพระองค์ว่าบุตรดาวิด เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอเข้าใจพระองค์ดีเพียงใด แม้จะดูเหมือนว่าพระองค์จะพูดในเชิงรุนแรงและให้เธอรอ พระองค์ก็ทรงชมเชยความเชื่อของเธอและรักษาลูกสาวให้หายดี การกระทำของพระองค์แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงมีความรักและเมตตาแม้ต่อผู้ที่อยู่นอกพันธกิจแรกของพระองค์ และการแสดงความเมตตานี้เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งสำคัญในพระองค์คือความเชื่อและใจที่จริงใจของผู้ที่เข้าหาอย่างศรัทธาและเชื่อมั่นในพระองค์อย่างแท้จริง
ข้อคิด: มัทธิว 15; มาระโก 7
“ประชาชนจำนวนมากพาคนง่อย คนตาบอด คนพิการ คนใบ้ และคนป่วยอื่นๆ มาหาพระองค์ แล้ววางพวกเขาลงแทบพระบาทของพระองค์ และพระองค์ทรงรักษาพวกเขาให้หาย” (มัทธิว 15:30) ในวิวรณ์ 4:10–11 พระเยซูทรงประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ในอาณาจักรนิรันดร์ ที่ซึ่งพวกผู้อาวุโสจะ “ถอดมงกุฎของตนวางลงต่อหน้าพระที่นั่ง แล้วทูลว่า ‘พระองค์เจ้าของพวกข้าพระองค์ผู้เป็นพระเจ้า ทรงสมควรที่จะได้รับพระสิริ พระเกียรติ และฤทธิ์อำนาจ’ ” ช่างเป็นความแตกต่างอย่างมากในสิ่งที่วางไว้แทบพระบาทของพระองค์ บนโลกนี้คือคนพิการ และในอาณาจักรคือมงกุฎ และพระเยซูทรงต้อนรับทุกสิ่ง พระองค์ไม่เพียงแต่รับมงกุฎและพระสิริเท่านั้น พระองค์ทรงอยู่ต่อไปอีกสามวันเพื่อรักษาทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ ช่างเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่เปี่ยมด้วยความเมตตา พระองค์ทรงเป็นที่ซึ่งความยินดีอยู่!
คำถาม
1. ในมัทธิว 15:1-20 และมาระโก 7:1-23 พระเยซูทรงเผชิญหน้ากับพวกฟาริสีและธรรมาจารย์เกี่ยวกับความสำคัญของประเพณีและความสะอาดภายนอก พระองค์ทรงสอนว่าสิ่งที่ทำให้คนเป็นมลทินนั้นไม่ได้มาจากภายนอก แต่มาจากภายในหัวใจของพวกเขา คริสเตียนในปัจจุบันสามารถนำคำสอนนี้ไปประยุกต์ใช้กับชีวิตของตนเองได้อย่างไร และเราจะตรวจสอบให้แน่ใจได้อย่างไรว่าหัวใจของเราบริสุทธิ์ต่อพระเจ้ามากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่กฎเกณฑ์ภายนอก?
2. ในมัทธิว 15:21-28 และมาระโก 7:24-30 พระเยซูทรงรักษาลูกสาวของหญิงชาวคานาอัน หลังจากที่หญิงคนนั้นอ้อนวอนพระองค์อย่างไม่ลดละและความเชื่อของนางก็ปรากฏชัด เรื่องราวนี้สอนอะไรแก่เราเกี่ยวกับความสำคัญของความอุตสาหะในการอธิษฐานและความเชื่อ แม้ในยามที่เราเผชิญกับความท้าทายและความล่าช้า และเราจะพัฒนาความเชื่อที่เข้มแข็งพอที่จะเอาชนะอุปสรรคได้อย่างไร?
มาระโก บทที่ 7 เป็นบทที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะพระเยซูทรงปฏิวัติความคิดเรื่องความบริสุทธิ์และมลทิน โดยเน้นไปที่สภาพภายในของมนุษย์มากกว่ากฎเกณฑ์ภายนอก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเมตตาของพระองค์ต่อคนต่างชาติ
ข้อคิดสำคัญจากมาระโกบทที่ 7 มีดังนี้:
1. การทำลายอำนาจของธรรมเนียมมนุษย์ (มก 7:1-13)
- ธรรมเนียมไม่ใช่บัญญัติของพระเจ้า: พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ตำหนิสาวกของพระเยซูที่ไม่ได้ล้างมือตาม "ธรรมเนียมของบรรพบุรุษ" ก่อนกินอาหาร ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น พระเยซูทรงเปิดโปงการหน้าซื่อใจคดของพวกเขาโดยอ้างถึงอิสยาห์ (มก 7:6-7)
- การละเลยคำสั่งของพระเจ้า: พระองค์ทรงกล่าวหาพวกเขาว่า "ท่านทั้งหลายละเลยพระบัญญัติของพระเจ้าแต่กลับไปถือธรรมเนียมของมนุษย์" (มก 7:8) และยกตัวอย่างการใช้คำว่า "โกระบาน" (ของถวายแด่พระเจ้า) เพื่อหลีกเลี่ยงการดูแลบิดามารดาซึ่งเป็นการละเมิดบัญญัติข้อที่ 5 (จงให้เกียรติบิดามารดา)
- ข้อคิด: เราต้องระวังไม่ให้กฎเกณฑ์ พิธีกรรม หรือธรรมเนียมที่เรายึดถือ (แม้จะเกิดจากความตั้งใจดี) มามีอำนาจเหนือพระวจนะและพระบัญญัติที่แท้จริงของพระเจ้า การกระทำภายนอกไม่มีความหมายหากมันขัดแย้งกับเจตนาแห่งความรักที่พระเจ้าประสงค์
2. สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทินมาจากภายใน (มก 7:14-23)
- ความบริสุทธิ์จากใจ: พระเยซูทรงสอนหลักการที่ปฏิวัติวงการศาสนาว่า "ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์แล้วจะทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั้นแหละที่ทำให้เขามีมลทิน" (มก 7:15)
- แหล่งที่มาของบาป: พระองค์ทรงอธิบายว่า ความคิดชั่วร้ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการผิดศีลธรรมทางเพศ, การขโมย, การฆาตกรรม, ความโลภ, ความชั่วช้า, ความหยิ่งยโส, หรือความโง่เขลา ล้วนออกมาจาก "ภายใน คือจากใจมนุษย์" (มก 7:21-23)
- ข้อคิด: ปัญหาหลักของมนุษย์คือ สภาพใจ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายนอกร่างกาย การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มจากการชำระและฟื้นฟูจิตใจโดยพระเจ้า ไม่ใช่แค่การทำตามกฎระเบียบภายนอกที่เคร่งครัด
3. ศรัทธาที่ถ่อมใจและความเมตตาที่แผ่ขยาย (มก 7:24-37)
- ศรัทธาของผู้หญิงต่างชาติ: พระเยซูทรงเดินทางไปยังเขตแดนของคนต่างชาติ (ไทระและไซดอน) และได้พบกับหญิงชาวซีโรฟีนีเซีย (คนต่างชาติ) ที่มาทูลขอให้รักษาลูกสาวของเธอ แม้พระเยซูจะเปรียบเทียบคนต่างชาติเหมือน "สุนัข" (ในบริบทที่หมายถึงคนนอกบ้าน) แต่เธอแสดง ความถ่อมใจ และ ศรัทธาที่ไม่ยอมแพ้ โดยกล่าวว่า "สุนัขก็จะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของลูก ๆ" (มก 7:28)
- การอัศจรรย์สำหรับทุกคน: ด้วยความเชื่อของเธอ พระเยซูจึงทรงรักษาลูกสาวของเธอให้หายจากผีเข้า เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระพรของพระเจ้าไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะชนชาติยิวเท่านั้น แต่แผ่ขยายไปยังผู้ที่มีความเชื่อด้วยความถ่อมตน
- การฟื้นฟู: ในตอนท้าย พระเยซูทรงรักษาชายหูหนวกและพูดไม่ชัด (มก 7:31-37) ปาฏิหาริย์นี้ทำให้ผู้คนประหลาดใจและประกาศว่า "คนนี้ทำสิ่งใดก็ดีทั้งนั้น" (มก 7:37) เป็นการเน้นย้ำถึงภารกิจของพระเยซูในการฟื้นฟูโลกที่ถูกทำลายให้กลับสู่สภาพที่ "ดี" อีกครั้ง
มาระโก 7 สอนเราให้ความสำคัญกับหัวใจที่บริสุทธิ์มากกว่าการเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ และตอกย้ำว่า ความเมตตาของพระเจ้ามีให้แก่ทุกคนที่มาหาพระองค์ด้วยความเชื่อและความถ่อมใจ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครหรือมาจากที่ใดก็ตาม