เรื่องย่อ
มัทธิว 17 และ มาระโก 9 ถ่ายทอดช่วงเวลาที่น่าอัศจรรย์และน่าทึ่ง เมื่อพระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาสูง และทรงสำแดงพระกายให้พวกเขาเห็นในสง่าราศีด้วยพระพักตร์ที่ส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์และฉลองพระองค์สีขาวเหมือนแสงสว่าง เอลียาห์และโมเสสปรากฏกายและสนทนากับพระเยซู ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพระองค์ในการเติมเต็มพระคัมภีร์ พระสุรเสียงจากสวรรค์ตรัสว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก จงเชื่อฟังท่านเถิด" การนิมิตสิ้นสุดลง และพระเยซูทรงสั่งให้เหล่าสาวกไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังจนกว่าพระองค์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย เมื่อลงจากภูเขา พระเยซูทรงรักษาเด็กที่มีผีสิงที่ไม่สามารถรักษาได้ก่อนหน้านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจของพระองค์เหนืออำนาจปีศาจและเน้นถึงความสำคัญของความเชื่อ เหตุการณ์เหล่านี้ให้การมองเห็นชั่วขณะหนึ่งในสง่าราศีอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทำให้เหล่าสาวกเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับตัวตนและภารกิจของพระองค์
ในวันนี้ เราได้เห็นพระเยซูทรงเปลี่ยนประสบการณ์ของคำตำหนิของพวกฟาริสีและสะดูสีให้เป็นบทเรียนสำคัญ โดยพระองค์ทรงใช้สิ่งรอบตัวในคำอุปมาเพื่อเตือนให้เราตระหนักว่าทุกคำสอนที่เน้นแต่ศีลธรรมและความถูกต้องภายนอกนั้นสามารถเป็นอันตรายได้ หากไม่เชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระเจ้า พระองค์ทรงเตือนว่าการยึดติดกับธรรมเนียมและสิ่งที่ดูดีภายนอกอาจทำให้เราละเลยความรักและความเมตตา ซึ่งเป็นหัวใจของพระกิตติคุณ และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินตามพระองค์
พระองค์ยังทรงแสดงให้เหล่าสาวกเห็นถึงความจริงลึกซึ้งเกี่ยวกับพระองค์เองและแผนการของพระบิดา ผ่านเหตุการณ์หลายอย่าง เช่น การเปลี่ยนสภาพทรงพระดำเนินบนภูเขาพร้อมเผยเบื้องหลังมิติฝ่ายวิญญาณ รวมถึงการปรากฏตัวของโมเสสและเอลียาห์ ซึ่งเป็นตัวแทนของธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะ พระองค์ทรงเน้นว่าทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในพระคริสต์ พระองค์ยืนยันว่าพระองค์คือศิลามุกแห่งความหวัง และคำประกาศนี้เป็นรากฐานสำคัญของคริสตจักรที่ไม่อาจพังทลายได้
นอกจากนี้ เราจะเห็นว่าพระเยซูทรงให้ความสำคัญกับธรรมเนียมและหน้าที่ทางสังคม เช่น การจ่ายภาษีพระวิหาร ถึงแม้พระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ก็ยังเลือกที่จะจ่ายภาษีเพื่อเป็นตัวอย่างและไม่ทำให้ใครขุ่นเคือง พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์โดยไม่ละเลยความเมตตาและเกียรติยศต่อธรรมบัญญัติ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด และแม้พระองค์จะไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีตามกฎหมาย แต่ทรงเลือกที่จะทำเพื่อเป็นแบบอย่างแห่งความรักและความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า พระองค์ทรงสอนให้เราเชื่อมั่นในพระประสงค์ของพระบิดาและใช้ชีวิตด้วยความสัตย์ซื่อ พร้อมทำให้พระธรรมเนียบรัดและพระสัญญาของพระองค์เป็นจริงในทุกการกระทำของเรา
ข้อคิด: มัทธิว 17; มาระโก 9
บิดาของเด็กชายที่ถูกผีสิงเปิดเผยความสงสัยและความเชื่อในพระเยซู เมื่อเขากล่าวว่า "ข้าพเจ้าเชื่อ ขอทรงช่วยให้ข้าพเจ้าหายสงสัยเถิด" ทั้งความเชื่อและความไม่เชื่อมารวมอยู่ในใจเดียวกัน เขาขอให้พระเยซูทรงช่วยให้เขาเชื่อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าสามารถประทานความเชื่อได้ พระองค์ทรงต้องการให้เราเข้าถึงพระองค์โดยทูลขอความช่วยเหลือ เพราะสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เราต้องพึ่งพาพระองค์อย่างแท้จริง ไม่ใช่พยายามใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์โดยไร้ซึ่งความเชื่อในพระองค์เอง เหมือนเช่นเหล่าสาวกที่พยายามขับผีออกโดยไม่มีความเชื่อในพระเจ้า แต่กลับพึ่งพาความสามารถตนเอง การทูลขอและการวางใจในพระเจ้านั้นเป็นสิ่งสำคัญ พระเจ้าทรงเป็นแหล่งที่มาของทุกสิ่งและเป็นที่ซึ่งความชื่นชมยินดีและความหวังของเราสถิตอยู่เสมอ
คำถาม
1. ในมัทธิว 17 และมาระโก 9 เราอ่านเรื่องราวของการจำแลงกาย ที่พระเยซูทรงปรากฏในพระสิริของพระองค์ต่อหน้าเปโตร ยากอบ และยอห์น ประสบการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อของสาวกอย่างไร และเราจะแสวงหาและจดจำช่วงเวลาแห่งความชัดเจนและการเปิดเผยทางจิตวิญญาณในชีวิตของเราได้อย่างไร ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อของเราในช่วงเวลาที่ยากลำบาก?
2. ในมัทธิว 17:14-21 และมาระโก 9:14-29 พระเยซูทรงรักษาเด็กชายที่ถูกผีสิง เมื่อสาวกไม่สามารถขับไล่ผีออกได้ พระเยซูทรงเน้นถึงความสำคัญของความเชื่อและคำอธิษฐาน เราจะพัฒนาความเชื่อที่มากขึ้นได้อย่างไร และเราจะพึ่งพาคำอธิษฐานเพื่อเอาชนะอุปสรรคและความท้าทายในชีวิตของเราได้อย่างไร?
มาระโก บทที่ 9 เป็นบทที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญที่เผยให้เห็นพระสิริของพระเยซู และความอ่อนแอของสาวกไปพร้อม ๆ กัน บทนี้เน้นย้ำถึงพลังของความเชื่อที่แท้จริง และการเป็นสาวกที่ต้องมีความถ่อมใจและการเสียสละ
ข้อคิดสำคัญจากมาระโกบทที่ 9 มีดังนี้:
1. การสำแดงพระสิริ: การจำแลงพระกาย (มก 9:2-13)
- การยืนยันตัวตนของพระบุตร: พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูง และ จำแลงพระกาย เสื้อผ้าของพระองค์ขาวผ่องเป็นประกาย พร้อมกับมีโมเสส (เป็นตัวแทนของธรรมบัญญัติ) และเอลียาห์ (เป็นตัวแทนของผู้เผยพระวจนะ) ปรากฏอยู่ด้วย
- คำสั่งจากสวรรค์: มีเสียงจากเมฆกล่าวว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด" (มก 9:7) ซึ่งเป็นการยืนยันอำนาจและสิทธิอำนาจของพระเยซูที่อยู่เหนือธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะ
- ข้อคิด: แม้ว่าการเป็นสาวกจะนำไปสู่ความทุกข์ยาก (ตามที่พระเยซูทำนายไว้ในบทที่ 8) แต่ผู้ติดตามพระองค์ก็ได้รับความหวังและการยืนยันจากพระบิดาว่า พระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง และเราควรให้ความสำคัญสูงสุดกับการฟังและเชื่อฟังพระองค์
2. ความเชื่อและการอธิษฐาน (มก 9:14-29)
- ความอ่อนแอของสาวก: สาวกที่ไม่ได้รับเลือกให้ขึ้นภูเขาไม่สามารถขับผีออกจากเด็กชายคนหนึ่งได้ เพราะพวกเขา "ขาดความเชื่อ" (มก 9:19)
- คำสารภาพแห่งความเชื่อ: บิดาของเด็กชายกล่าวคำสารภาพอันทรงพลังว่า "ข้าพเจ้าเชื่อ! โปรดช่วยความไม่เชื่อของข้าพเจ้าด้วย!" (มก 9:24) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ความเชื่อของเราจะไม่สมบูรณ์ แต่เราก็สามารถทูลขอให้พระเจ้าช่วยเราในความอ่อนแอได้
- อำนาจที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น: พระเยซูทรงรักษาเด็กชายและสอนสาวกว่า "ผีชนิดนี้จะขับออกไม่ได้เลย เว้นแต่ด้วยการอธิษฐาน" (มก 9:29)
- ข้อคิด: ความเชื่อคือกุญแจสำคัญในการปลดปล่อยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ความเชื่อนี้ไม่ใช่ความสามารถของเราเอง แต่เป็นการพึ่งพาพระเจ้าทั้งหมดผ่านการอธิษฐาน ซึ่งทำให้เราตระหนักว่าการอัศจรรย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "ความสามารถ" ของเรา แต่อยู่ที่ "พลัง" ของพระเจ้า
3. ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคือการรับใช้ (มก 9:30-50)
- ความสับสนของสาวก: หลังจากที่พระเยซูทำนายถึงการทนทุกข์และการสิ้นพระชนม์อีกครั้ง สาวกกลับกำลังโต้เถียงกันว่า "ใครเป็นใหญ่ที่สุดในบรรดาพวกเขา" (มก 9:34) ซึ่งเผยให้เห็นถึง ความคิดแบบมนุษย์ ที่ยังคงแสวงหาอำนาจและตำแหน่ง
- บทเรียนเรื่องความถ่อมใจ: พระเยซูทรงสอนหลักการที่ปฏิวัติความคิดของพวกเขาว่า "ถ้าใครอยากจะเป็นคนแรก เขาจะต้องเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ทุกคน" (มก 9:35) การรับใช้ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุด (เปรียบเหมือน "เด็กเล็ก ๆ") คือการรับใช้พระเยซูและพระเจ้าผู้ทรงส่งพระองค์มา
- การกำจัดบาปอย่างจริงจัง: พระเยซูทรงเตือนให้ตัดสิ่งใด ๆ ที่ทำให้เราทำบาปอย่างเด็ดขาด (เปรียบเหมือนการตัดมือหรือควักตา) เพราะการสูญเสียสิ่งเหล่านั้นยังดีกว่าการตกนรก (มก 9:43-48)
- การดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์: พระองค์ปิดท้ายด้วยการเตือนให้มี "เกลือ" ในตัว (มก 9:50) ซึ่งเกลือเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และสันติภาพ คริสเตียนต้องมีชีวิตที่บริสุทธิ์และสร้างสันติสุขกับผู้อื่น
มาระโกบทที่ 9 ท้าทายให้เราละทิ้งความทะเยอทะยานส่วนตัวในการเป็นใหญ่แบบทางโลก และหันมา พึ่งพาพระเจ้าด้วยความเชื่อ พร้อมทั้งแสดงความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงผ่านการรับใช้ผู้อื่นอย่างถ่อมใจ