เรื่องย่อ
แก่นแท้แห่งความหวังนิรันดร์และภารกิจสุดท้ายของคริสตจักรได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนใน 1 โครินธ์ 15-16 ซึ่งเปาโลได้ยืนยันความจริงอันเป็นรากฐานของความเชื่อคริสเตียน นั่นคือ "การเป็นขึ้นจากตายของพระคริสต์" หากปราศจากการฟื้นคืนชีพนี้ การประกาศข่าวประเสริฐก็ไร้ความหมาย และความเชื่อของเราก็ว่างเปล่า เปาโลได้อธิบายถึงสภาพของร่างกายใหม่ที่จะเป็นขึ้นในวันสุดท้าย เป็นร่างกายฝ่ายวิญญาณที่เปี่ยมด้วยสง่าราศี เพื่อให้เราสามารถรับชัยชนะเหนือบาปและความตายได้โดยพระคริสต์ และเมื่อความหวังอันยิ่งใหญ่นี้ถูกสถาปนาขึ้น เปาโลก็หันมาสู่การปฏิบัติในชีวิตจริง โดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเก็บเงินช่วยเหลือพี่น้องผู้ยากไร้ในกรุงเยรูซาเล็ม การวางแผนการเดินทางของท่าน และคำเตือนสุดท้ายที่กระตุ้นให้ผู้เชื่อ "จงเฝ้าระวัง จงตั้งมั่นในความเชื่อ จงเข้มแข็ง จงกล้าหาญ จงทำทุกสิ่งด้วยความรัก" เป็นการเชื้อเชิญให้คริสตจักรดำเนินชีวิตที่สะท้อนความจริงของการเป็นขึ้นจากตายของพระคริสต์ ด้วยความรักที่กระตือรือร้นและความหวังที่มั่นคงในพระองค์เสมอไป
เปาโลได้เผชิญหน้ากับชาวโครินธ์บางคนที่ไม่เชื่อเรื่องการฟื้นคืนชีพ โดยเสนอหลักฐานสำคัญคือการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ซึ่งมีพยานกว่า 500 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ เวลานั้น การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์เป็นหัวใจหลักของความเชื่อคริสเตียน หากปราศจากสิ่งนี้ เราจะสิ้นหวัง แต่เพราะพระองค์ทรงมีชัยชนะ ความหวังจึงแผ่ซ่านไปทั่วทุกด้านของชีวิต เมื่อพระเจ้าประทานใจใหม่และพระวิญญาณของพระองค์แก่เรา พระองค์จะทรงทำการที่เริ่มต้นในเราให้สำเร็จ แต่ผู้ที่เพียงแต่ยืนยันความจริงโดยที่ความจริงนั้นไม่ได้หยั่งรากลึก ความเชื่อของพวกเขาก็จะไร้ประโยชน์
หากพระเยซูไม่ได้ทรงเป็นขึ้นจากความตาย มนุษย์ก็จะยังคงตกเป็นทาสบาปและไร้ความหวังในชีวิตหลังความตาย แต่การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์นำมาซึ่งความหวัง โดยเปาโลเปรียบเทียบกับ "ผลแรก" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ที่จะมาถึง ในทำนองเดียวกัน การฟื้นคืนชีพของพระเยซูจึงเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการฟื้นคืนชีพของผู้เชื่อทุกคนสู่ชีวิตนิรันดร์ พระเยซูทรงเป็น "อาดัมที่สอง" ผู้ทรงนำชีวิตมาแทนความตายที่อาดัมคนแรกนำมา พระองค์จะทรงพิชิตศัตรูทั้งหมดและทำลายความตายเองตลอดไป ในส่วนการรับบัพติศมาแทนคนตาย เปาโลมิได้สนับสนุน แต่ใช้เพื่อเน้นย้ำประเด็นว่า หากไม่เชื่อในการฟื้นคืนชีพ การกระทำเช่นนั้นก็ไร้ความหมาย
การไม่เชื่อในการฟื้นคืนชีพนำไปสู่ความคิดที่ว่าการกระทำไร้ความหมาย เปาโลเตือนชาวโครินธ์ไม่ให้หลงผิดว่าชีวิตนี้คือทั้งหมด และอธิบายถึงร่างกายที่ฟื้นคืนชีพว่าจะมีสง่าราศี ฤทธิ์เดช และไม่เสื่อมสลาย ซึ่งเหนือกว่าร่างกายในโลกนี้อย่างมาก นอกจากนี้ เปาโลยังได้ขอให้คริสตจักรจัดเก็บเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้เชื่อในเยรูซาเล็มทุกวันแรกของสัปดาห์ ซึ่งนักวิชาการบางท่านตีความว่าเป็นการบ่งชี้ถึงการนมัสการในวันอาทิตย์เพื่อรำลึกถึงวันแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ ส่วนแผนการเดินทาง เปาโลตั้งใจจะไปเยี่ยมโครินธ์หลังจากภารกิจที่เอเฟซัส และได้ส่งทิโมธีไปล่วงหน้าพร้อมกำชับให้คริสตจักรให้เกียรติเขา แม้ว่าทิโมธีจะยังหนุ่มอยู่ ขณะที่อาโปโลปฏิเสธที่จะไปเยี่ยมโครินธ์ในเวลานั้น อาจเนื่องมาจากความตึงเครียดที่มีอยู่
ข้อคิด: 1 โครินธ์ 15-16
เปาโลเข้าใจถึงสถานะของตนเองอย่างถ่องแท้ว่าเขาไม่คู่ควรกับการเป็นอัครสาวก แต่สถานการณ์นี้กลับเน้นย้ำถึงพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้ซึ่งมิได้ลงโทษเขาจากอดีตที่ผิดพลาด แต่กลับมอบบทบาทสำคัญในการสร้างคริสตจักร การเรียกของพระเจ้าต่างหากที่กำหนดเส้นทางของเปาโล ไม่ใช่ความไม่คู่ควรของเขา ด้วยเหตุนี้ เปาโลจึงทุ่มเทรับใช้พระเจ้าและได้เห็นพระเจ้าทรงทำงานผ่านเขา โดยกล่าวว่า "ข้าพเจ้าทำงานหนักกว่าพวกเขาทุกคน แต่ก็ไม่ใช่ข้าพเจ้าเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่อยู่กับข้าพเจ้า" (1 โครินธ์ 15:10) เขารับรู้ว่าความสำเร็จทั้งหมดมาจากการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ความพยายามของตนเอง พระองค์ทรงเป็นแหล่งที่มา การจัดหา เป้าหมาย และความชื่นชมยินดีทั้งหมดในชีวิตของเขา
คำถาม
1. หลังจากเปาโลอธิบายเรื่อง "การเป็นขึ้นมาจากความตาย" ไว้อย่างลึกซึ้งและยาวเหยียดในบทที่ 15 เหตุใดท่านจึงสรุปจบด้วยคำหนุนใจที่เน้นการกระทำในปัจจุบันว่า "จงตั้งมั่นอยู่... จงบริบูรณ์ด้วยการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า... เพราะท่านรู้ว่าการงานของท่านจะไม่ไร้ประโยชน์"? (เพื่อให้เราพิจารณาว่า วัตถุประสงค์ของความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์และกายใหม่ที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่ใช่เพื่อให้เราหนีจากโลกนี้หรือรอคอยความตายอย่างเดียวดาย แต่เพื่อเป็น "พลังขับเคลื่อน" ให้เรากล้าทุ่มเท เสียสละ และยืนหยัดทำความดีในโลกปัจจุบัน โดยมั่นใจว่าทุกสิ่งที่ทำเพื่อพระเจ้านั้นมีคุณค่าถาวรและไม่สูญเปล่า)
2. ในบทที่ 16 ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องการจัดการธุระ การเรี่ยไรเงิน และแผนการเดินทาง เปาโลได้แทรกคำสั่งสั้นๆ ว่า "จงทำทุกสิ่งด้วยความรัก" (ข้อ 14) การเชื่อมโยงหลักธรรมอันยิ่งใหญ่เข้ากับเรื่องปากท้องและการบริหารจัดการ สะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อที่แท้จริงควรมีเป้าหมายสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันอย่างไร? (เพื่อกระตุ้นให้ตระหนักว่า วัตถุประสงค์ของการดำเนินชีวิตคริสเตียนไม่ได้แยกขาดระหว่าง "เรื่องฝ่ายวิญญาณ" กับ "เรื่องทางโลก" แต่ความเชื่อที่ถูกต้องต้องส่งผลออกมาเป็นการกระทำที่เป็นรูปธรรม เช่น การช่วยเหลือจุนเจือพี่น้องและการวางแผนงานอย่างรับผิดชอบ โดยมี "ความรัก" เป็นแรงจูงใจเบื้องหลังในทุกกิจกรรม)
1 โครินธ์ บทที่ 15 คือเรื่องของ การเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งเป็นแก่นแท้ของความเชื่อคริสเตียน
นี่คือข้อคิดหลักที่สำคัญที่สุด:
1. รากฐานของความเชื่อคือการเป็นขึ้นจากตายของพระคริสต์
- ความจริงที่ขาดไม่ได้: การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคือหัวใจของข่าวประเสริฐ และเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าความเชื่อของเรานั้นมีหลักฐานและมีพลังอำนาจจริง (ข้อ 3-4, 14, 20)
- ความหวังที่แท้จริง: หากพระคริสต์ไม่ได้เป็นขึ้นจากตาย ความเชื่อของเราก็ไร้ประโยชน์ และเราก็ยังตกอยู่ในบาป (ข้อ 17)
2. อนาคตของผู้เชื่อคือการมีชีวิตใหม่ที่ไม่เน่าเปื่อย
- ชัยชนะเหนือความตาย: ผู้ที่เชื่อในพระคริสต์จะกลับเป็นขึ้นจากตายด้วยร่างกายใหม่ที่ทรงสง่าราศี ไม่เน่าเปื่อย และไม่มีวันตายอีกต่อไป (ข้อ 42, 51-54)
- คำสัญญา: การที่พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาเป็น "ผลแรก" เป็นการรับประกันว่าเราทุกคนที่อยู่ในพระองค์ก็จะกลับเป็นขึ้นมาเช่นกัน (ข้อ 20, 23)
3. ผลที่ตามมาคือการดำเนินชีวิตด้วยความมั่นคง
- อย่ายอมแพ้: เพราะเรารู้ถึงความหวังอันยิ่งใหญ่นี้ อัครทูตเปาโลจึงหนุนใจให้ "จงตั้งมั่นอยู่ อย่าให้สิ่งใดทำให้ท่านหวั่นไหว" (ข้อ 58)
- การงานไม่สูญเปล่า: จงทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะท่านรู้ว่า "ในการตรากตรำของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะไม่สูญเปล่า" (ข้อ 58)
- ระวังอิทธิพลชั่ว: อย่าให้ใครชักจูงให้หลงผิดเพราะ "เพื่อนเลวย่อมทำให้อุปนิสัยที่ดีเสื่อมทรามไป" (ข้อ 33) เราควรรีบกลับตัวและเลิกทำบาป
เพราะพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตายและเรามีความหวังในการเป็นขึ้นจากตายเช่นกัน ชีวิตของเราจึงมีจุดมุ่งหมาย เราจึงควรมั่นคงในความเชื่อ ทุ่มเทในงานรับใช้ และดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์