Thai Mission Reading Plan 2025

อ่านพระคัมภีร์ให้สนุกและเกิดผลในหนึ่งปี มีข้อคิดที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ทุกตอน


Started on: Jan. 1, 2025

ร่วมกลุ่มอ่านพระคัมภีร์ในแผนนี้

อ่านพระคัมภีร์ | READ SCRIPTURES

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
ทิตัส 1

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
ทิตัส 2

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
ทิตัส 3

เรื่องย่อ

ทิตัส 1-3 ได้นำเสนอพิมพ์เขียวที่ชัดเจนจากอัครทูตเปาโล เพื่อเป็นแนวทางให้ติตัสในการแต่งตั้งผู้นำ จัดระเบียบ และสอนคริสตจักรให้ดำเนินชีวิตที่สะท้อนข่าวประเสริฐ เปาโลเริ่มต้นด้วยการเน้นย้ำถึงคุณสมบัติที่เข้มงวดของผู้ปกครองคริสตจักร ซึ่งต้องเป็นผู้ที่ปราศจากตำหนิ มีความเชื่อที่มั่นคง และสามารถตักเตือนผู้สอนผิดได้ เพื่อปกป้องคริสตจักรจากอิทธิพลที่ทำลายล้างของพวกที่ชอบพูดเหลวไหลและหาประโยชน์ส่วนตน จากนั้น ท่านได้ให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงแก่กลุ่มคนต่างๆ ในคริสตจักร ตั้งแต่คนแก่หนุ่มสาว ไปจนถึงทาส เพื่อให้ทุกคนดำเนินชีวิตอย่างสมกับการเป็นผู้เชื่อ ซึ่งเป็นพยานถึงพระคุณของพระเจ้าที่นำมาซึ่งความรอดและสอนให้เราปฏิเสธความอธรรม สุดท้าย เปาโลได้ย้ำเตือนติตัสให้สอนผู้เชื่อให้เชื่อฟังผู้มีอำนาจ เคารพผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการโต้เถียงที่ไร้ประโยชน์ โดยให้มุ่งเน้นไปที่การทำความดีและใช้ชีวิตด้วยความเมตตา เพราะพระคุณและความรักของพระเจ้าได้หลั่งไหลลงมายังเราผ่านพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทำให้จดหมายฉบับนี้เป็นเหมือนคู่มือในการสร้างคริสตจักรที่เปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์และถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสถานการณ์

 

เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงทิตัส เพื่อนร่วมงานที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลคริสตจักรบนเกาะครีต ซึ่งเผชิญกับวัฒนธรรมที่ขัดแย้งกับคำสอนของพระคริสต์ ผู้นำท้องถิ่นที่ชิงอำนาจ และผู้สอนเท็จมากมาย สถานการณ์ที่ท้าทายนี้ทำให้เปาโลมอบหมายให้ทิตัสจัดระเบียบทุกอย่างให้เรียบร้อย โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเลือกผู้ปกครองคริสตจักรที่สะท้อนถึงพระคริสต์ทั้งในหลักคำสอนและชีวิตส่วนตัว และมีความกล้าหาญที่จะแก้ไขผู้ที่สอนผิด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในหมู่ "ผู้เข้าสุหนัต" และชาวครีตบางคน การตักเตือนเช่นนี้มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความเชื่อและปรับปรุงหลักคำสอนของสมาชิกในคริสตจักร

เปาโลยังให้แนวทางแก่ทิตัสในการแสดงออกถึงความเชื่อในพระเจ้าและหลักคำสอนที่ดีในสังคมนอกศาสนา โดยให้คำแนะนำแก่กลุ่มคนต่าง ๆ ในคริสตจักร ทั้งชายและหญิง และตามวัย เพื่อให้พวกเขาดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยเฉพาะในสถาบันครอบครัว การดำเนินชีวิตที่แตกต่างนี้จะช่วยประดับคำสอนของพระเจ้าแก่โลกภายนอก แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งพระคุณอันเปลี่ยนแปลงของพระเจ้า พระคุณนี้ไม่เพียงนำความรอดมาให้ แต่ยังฝึกฝนพวกเขาให้ละทิ้งบาป ตัณหาฝ่ายโลก และดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมและเชื่อในพระเจ้า เตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระคริสต์

นอกจากนี้ เปาโลยังขยายขอบเขตคำสอนไปสู่บริบททางสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงการเมือง โดยเน้นย้ำว่าคริสตจักรควรโดดเด่นด้วยการแสดงความถ่อมใจและการเชื่อฟังอย่างนอบน้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความขัดแย้ง สมาชิกควรหลีกเลี่ยงการใส่ร้าย การทะเลาะวิวาท แสดงความสุภาพอ่อนโยนต่อทุกคน การกระทำเช่นนี้เกิดจากการระลึกว่าเดิมทีพวกเขาก็เคยโง่เขลา ไม่เชื่อฟัง และถูกครอบงำด้วยบาป ซึ่งทั้งหมดนี้เปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยพระคุณและความรักของพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้น พวกเขาจึงต้องมุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตอย่างถ่อมตนและสงบสุข และตักเตือนผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้

 

ข้อคิด: ทิตัส 1-3

พระเจ้าทรงสัญญาชีวิตนิรันดร์แก่เรามาตั้งแต่ก่อนกาลเวลาเริ่มต้น และทรงเปิดเผยพระคำนั้นในเวลาอันเหมาะสม (ติตัส 1:2–3) แผนการแห่งความรอดของเรานี้ถือกำเนิดขึ้นในพระโอษฐ์ของพระเจ้าผู้ทรงดำรงนิรันดร์ ไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้แผนการของพระองค์ผิดพลาดหรือล่าช้าได้ ในเวลาอันเหมาะสม พระองค์ทรงเริ่มต้นแผนการทั้งหมด ทรงสร้างโลก นำเราผ่านการล้มลงในบาป และทรงส่งพระบุตรองค์เดียวมายังโลกเพื่อดำเนินชีวิตในฐานะพระเจ้าผู้ทรงเป็นมนุษย์ ผู้ซึ่งจะสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของมนุษยชาติ เพื่อเราจะได้รับการช่วยกู้และฟื้นฟูสู่ความสมบูรณ์แบบและสถานะที่เราไม่สามารถได้รับด้วยตัวเราเอง เราไม่ใช่แค่สิ่งทรงสร้าง แต่เป็นบุตรและทายาทของพระองค์ ซึ่งเป็นแหล่งแห่งความชื่นชมยินดีที่แท้จริง

 

คำถาม

1.   ทำไมเปาโลจึงกำชับให้ทิตัสคัดเลือกผู้นำที่มีคุณสมบัติทางศีลธรรมและวินัยที่เข้มงวดมาก (บทที่ 1) ทั้งที่ต้องทำงานท่ามกลางชาวครีตที่มีชื่อเสียงด้านลบว่า "ขี้ปด เป็นสัตว์ร้าย และเกียจคร้าน" การตั้งมาตรฐานที่สวนทางกับวัฒนธรรมท้องถิ่นนี้ สะท้อนวัตถุประสงค์ของการดำรงอยู่ของคริสตจักรในสังคมที่เสื่อมทรามอย่างไร? (เพื่อให้เราพิจารณาว่า วัตถุประสงค์ของคริสตจักรไม่ใช่การปรับตัวกลมกลืนไปกับค่านิยมของโลกเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ แต่คือการเป็น "เสาหลัก" ที่ยืนหยัดในความจริงและสำแดงชีวิตที่แตกต่าง เพื่อพิสูจน์ว่าข่าวประเสริฐมีฤทธิ์เดชในการ "เปลี่ยนแปลง" สันดานมนุษย์ได้จริง ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเลวร้ายเพียงใด)

2.   ในบทที่ 2 และ 3 เปาโลย้ำหลายครั้งว่า พระคุณของพระเจ้าปรากฏขึ้น "เพื่อสอนให้เราละทิ้งอธรรม" และคนที่เชื่อแล้วต้อง "มุ่งมั่นในการทำดี" ประเด็นนี้ท้าทายให้เรามองวัตถุประสงค์ของ "ความรอด" ให้ไกลกว่าแค่การได้ขึ้นสวรรค์ ไปสู่เป้าหมายเรื่อง "ภาพลักษณ์ของพระเจ้า" ในปัจจุบันอย่างไร? (เพื่อกระตุ้นให้ตระหนักว่า วัตถุประสงค์ของการได้รับพระคุณ ไม่ใช่ใบอนุญาตให้ใช้ชีวิตตามใจชอบ แต่คือแรงจูงใจและพลังในการ "ประดับหลักธรรม" ของพระเจ้าให้งดงาม เพื่อให้คนภายนอกที่มองดูชีวิตของเราเห็นว่า พระเจ้าทรงแสนดีและคำสอนของพระองค์นั้นส่งผลดีต่อโลกนี้อย่างเป็นรูปธรรม)

 

 

จดหมายของเปาโลถึงทิตัส บทที่ 1 เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการวางรากฐานของคริสตจักรและการรักษาความจริงท่ามกลางกระแสสังคมที่สับสนครับ ในบทนี้เราสามารถสรุปข้อคิดที่นำมาประยุกต์ใช้ได้ดังนี้ครับ:

1. คุณสมบัติของผู้นำที่ "ไร้ที่ติ"

เปาโลเน้นว่าผู้นำ (ศิษยาภิบาลหรือผู้ปกครอง) ไม่ได้วัดกันที่ความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมี "ชีวิตที่พิสูจน์ได้"

  • ครอบครัวต้องมั่นคง: การดูแลครอบครัวเป็นบททดสอบแรกก่อนจะไปดูแลคนอื่น
  • อุปนิสัยส่วนตัว: ต้องไม่เย่อหยิ่ง ไม่เป็นคนขี้โมโห ไม่ดื่มสุรา และไม่เห็นแก่ได้ (เน้นความถ่อมใจและการควบคุมตนเอง)
  • ความซื่อตรง: ต้องเป็นคนที่ยึดมั่นใน "ถ้อยคำที่สัตย์ซื่อ" เพื่อจะสามารถสอนผู้อื่นได้

2. หน้าที่ในการ "ปกป้องความจริง"

ในสมัยนั้นเกาะครีตเต็มไปด้วยคำสอนที่บิดเบือน เปาโลกำชับทิตัสว่า:

  • ต้องกล้าตักเตือน: ผู้นำต้องมีความกล้าหาญที่จะ "ปิดปาก" คนที่สอนผิดเพื่อแสวงหาผลประโยชน์
  • ความเข้มงวดที่มาจากความรัก: การตักเตือนอย่างรุนแรงในบางครั้ง มีเป้าหมายเพื่อให้คนเหล่านั้น "มีความเชื่อที่ถูกต้อง" ไม่ใช่เพื่อทำลาย แต่เพื่อแก้ไข

3. นิยามของความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

มีประโยคหนึ่งที่คมคายมากในข้อ 15: "สำหรับคนบริสุทธิ์ ทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนชั่วร้ายและไม่เชื่อนั้น ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย"

  • ใจเป็นหน้าต่างของจิตวิญญาณ: หากใจเราคดโกง เราจะมองทุกอย่างด้วยความระแวงหรือหาช่องทางทำผิดเสมอ
  • ศาสนาไม่ใช่แค่พิธีกรรม: การอ้างว่ารู้จักพระเจ้าแต่การกระทำตรงกันข้าม เปาโลเรียกว่าเป็นการ "ปฏิเสธพระองค์" ด้วยการกระทำ

การเป็นคริสเตียนหรือคนดีไม่ได้วัดกันที่คำพูด หรือความรู้ที่เรามี แต่ดูที่ "วิถีชีวิต" ว่าสอดคล้องกับสิ่งที่เราเชื่อหรือไม่ และเรากล้าพอที่จะยืนหยัดเพื่อความถูกต้องในวันที่คนรอบข้างทำในสิ่งที่ผิดหรือเปล่า