เรื่องย่อ
ฮีบรู 1-6 ได้เปิดเผยความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างไม่มีใครเทียบเท่า ด้วยความจริงอันยิ่งใหญ่ที่ว่าพระองค์ทรงเป็นรัศมีแห่งสง่าราศีและภาพสะท้อนแท้จริงของพระลักษณะของพระองค์ ผู้เขียนจึงไม่รอช้าที่จะเตือนผู้เชื่ออย่างหนักแน่นให้ระมัดระวังไม่ให้ล่องลอยห่างหายจากความรอดอันยิ่งใหญ่นี้ โดยใช้บทเรียนจากอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารที่ต้องรับผลจากการไม่เชื่อฟังเป็นตัวอย่าง ท่านยังได้ท้าทายให้ก้าวข้ามความเข้าใจขั้นพื้นฐาน ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณอย่างไม่ย่อท้อ และยึดมั่นในความหวังที่แน่นอนซึ่งเป็นสมอแห่งชีวิต คือพระคริสต์ผู้ทรงเป็นมหาปุโรหิตตามแบบเมลคีเซเดค ซึ่งได้เสด็จเข้าไปในห้องบริสุทธิ์ที่สุดแล้ว เพื่อเป็นหลักประกันแห่งพระสัญญาที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้าว่าเราจะได้รับชัยชนะในที่สุด
แม้ผู้เขียนและผู้รับจดหมายฮีบรูจะไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ข้อความนี้ดูเหมือนจะส่งถึงคริสเตียนชาวยิว โดยเน้นย้ำถึงความเป็นเลิศของพระคริสต์เหนือทุกสิ่ง พระเยซูทรงเป็นผู้สร้างโลก เป็นรัศมีแห่งพระสิริของพระเจ้า ทรงค้ำจุนจักรวาล ทรงชำระบาป และประทับที่เบื้องขวาของพระบิดา ผู้เขียนกระตุ้นเตือนผู้อ่านว่าอย่าละทิ้งความจริงนี้ เพราะพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาเพื่อทำลายอำนาจของพญามารเหนือความตาย ทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว และยืนยันว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์
ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้อ่านยึดมั่นในความเชื่ออย่างมั่นคง เพราะการอดทนจนถึงที่สุดเป็นเครื่องยืนยันว่าพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในพวกเขาอย่างแท้จริง ผู้ที่หลงหายไปนั้นไม่เคยมีใจใหม่ที่เชื่อในพระเจ้าตั้งแต่ต้น แต่มีใจที่ไม่เชื่อซึ่งแข็งกระด้างเพราะบาป ผู้เชื่อถูกกระตุ้นให้ตรวจดูสภาพใจของตนว่ากำลังอ่อนโยนหรือแข็งกระด้าง และให้ตระหนักว่าเพียงแค่ได้ยินหรือเห็นด้วยกับความจริงนั้นไม่เพียงพอ แต่ต้องยอมรับและดำเนินชีวิตตามความจริงนั้นด้วย พวกเขาควรจะเติบโตถึงขั้นเป็นครูได้แล้ว แต่กลับยังคงอยู่กับหลักพื้นฐาน ทำให้ขาดการวินิจฉัยฝ่ายวิญญาณ
สำหรับข้อถกเถียงในบทที่ 6 ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่าคนสามารถสูญเสียความรอดได้นั้น ผู้เขียนได้ชี้แจงว่าไม่ได้หมายถึงผู้เชื่อแท้ แต่หมายถึงผู้ที่สัมผัสกับพระเยซูเพียงผิวเผินโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหัวใจที่แท้จริง ซึ่งเปรียบเสมือนดินที่ได้รับฝนแต่ยังคงให้ผลเป็นหนาม คนเหล่านี้ไม่มีหนทางอื่นที่จะกลับใจหาความรอดได้อีกแล้ว เพราะเครื่องบูชาของพระคริสต์เป็นครั้งเดียวและเป็นที่สุด อย่างไรก็ตาม ผู้เชื่อที่แท้จริงสามารถมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในความหวังของตนในพระคริสต์ ซึ่งเป็นสมอที่ยึดเหนี่ยวจิตวิญญาณของพวกเขา
ข้อคิด: ฮีบรู 1-6
พระเจ้าทรงแสดงความอ่อนโยนต่อผู้ที่เขลาและหลงผิด ไม่ว่าจะเป็นเพราะความไม่รู้หรือความผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเราพลั้งพลาด พระองค์ไม่ทรงแปลกพระทัย เพราะพระองค์ทรงล่วงรู้ทุกสิ่งแล้ว พระองค์ทรงอดทนดึงเราเข้ามา สั่งสอนเรา และยังคงรักเราอย่างไม่มีลดน้อยลง ซึ่งเป็นความจริงที่ปลดปล่อยเราอย่างแท้จริง และในพระองค์นั่นแหละคือแหล่งแห่งความชื่นชมยินดี
คำถาม
1. ในบทที่ 2 และ 4 ผู้เขียนชี้ให้เห็นภาพที่ดูขัดแย้งกันว่า พระเยซูทรง "ยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์" แต่กลับต้องทรงยอมรับสภาพมนุษย์ที่ต่ำต้อยเพื่อ "ทนทุกข์" และ "ถูกทดลองใจเหมือนเราทุกประการ" ความจริงที่ว่ามหาปุโรหิตของเรามีความเห็นอกเห็นใจในความอ่อนแอเช่นนี้ ควรเปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการเข้าหาพระเจ้าเมื่อเราทำผิดพลาด จากความหวาดกลัวการลงโทษ ไปสู่ท่าทีแบบใด? (เพื่อให้เราพิจารณาว่า วัตถุประสงค์ที่พระเจ้าผู้สูงสุดทรงถ่อมลงมาเป็นมนุษย์ คือการเปิดทางให้เรา "กล้า" เข้าไปที่พระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อรับความเมตตาและการช่วยเหลือในยามจำเป็น โดยไม่ต้องหลบซ่อนด้วยความละอาย เพราะพระองค์ทรงเข้าใจข้อจำกัดของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง)
2. ในบทที่ 5 และ 6 ผู้เขียนตำหนิผู้เชื่อที่ยังคงกิน "น้ำนม" (หลักธรรมเบื้องต้น) ทั้งที่เวลาผ่านไปนานจนควรจะเป็นครูได้แล้ว โดยย้ำว่า "อาหารแข็ง" มีไว้สำหรับผู้ใหญ่ที่ "ฝึกฝนจนสามารถแยกแยะดีชั่วได้" การเชื่อมโยงความรู้เข้ากับการฝึกฝนนี้ สะท้อนให้เห็นว่าวัตถุประสงค์ของการศึกษาพระคัมภีร์ที่แท้จริง ไม่ใช่การสะสมข้อมูลทางศาสนา แต่คืออะไร? (เพื่อกระตุ้นให้ตระหนักว่า วัตถุประสงค์ของความเติบโตฝ่ายวิญญาณ (การกินอาหารแข็ง) คือการสร้าง "วิจารณญาณ" (Discernment) ที่เฉียบคม เพื่อให้เรามีความมั่นคง ไม่ถูกหลอกลวงง่าย และสามารถวินิจฉัยสถานการณ์ชีวิตที่ซับซ้อนได้อย่างถูกต้องตามน้ำพระทัย)
ฮีบรู บทที่ 6 เป็นหนึ่งในตอนที่ท้าทายและลึกซึ้งที่สุดในพระคัมภีร์ใหม่ โดยเฉพาะคำเตือนเรื่องการละทิ้งความเชื่อ และการตอกย้ำถึงความมั่นใจในพระสัญญาของพระเจ้า นี่คือข้อคิดสำคัญที่สรุปออกมาเพื่อการประยุกต์ใช้ครับ
1. อย่าหยุดอยู่ที่ "พื้นฐาน" แต่ต้องเติบโตสู่ความมหาไถ่ (ข้อ 1-3)
ผู้เขียนฮีบรูเตือนสติว่า เราไม่ควรย่ำอยู่กับที่กับหลักคำสอนเบื้องต้น (เช่น เรื่องการกลับใจ การบัพติศมา หรือการฟื้นขึ้นจากตาย) เปรียบเหมือนเด็กที่ไม่ยอมหย่านม
- ข้อคิด: ชีวิตคริสเตียนต้องมีพัฒนาการ ความเชื่อที่เข้มแข็งเกิดจากการฝึกฝนและการนำพระคำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่การรู้ทฤษฎีพื้นฐานซ้ำไปซ้ำมา
2. คำเตือนที่เข้มงวดเรื่องการ "ละทิ้งความเชื่อ" (ข้อ 4-8)
ข้อนี้เป็นประเด็นถกเถียงทางเทววิทยาอย่างมาก แต่ใจความสำคัญคือการเตือนสติผู้ที่เคยสัมผัสพระคุณของพระเจ้าแล้ว แต่กลับหันหลังให้พระองค์อย่างจงใจ
- ข้อคิด: ความเชื่อไม่ใช่แค่ความรู้สึกชั่วคราว แต่คือการรักษาความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง การเพิกเฉยต่อความรอดและจงใจปฏิเสธพระฉายาของพระคริสต์ในชีวิตตนเองเป็นอันตรายต่อฝ่ายวิญญาณอย่างยิ่ง
3. พระเจ้าไม่ลืมความรักและการปรนนิบัติของคุณ (ข้อ 10)
พระคัมภีร์ตอนนี้ให้กำลังใจอย่างมากว่า "พระเจ้าไม่ทรงอธรรมที่จะทรงลืมการงานซึ่งพวกท่านได้ทำ และความรักที่พวกท่านได้แสดงต่อพระนามของพระองค์"
- ข้อคิด: แม้ในวันที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้าหรือไม่มีใครเห็นค่าในการทำดีของคุณ ขอให้รู้ว่าพระเจ้าทรงบันทึกทุกการปรนนิบัติและการช่วยเหลือพี่น้องคริสเตียนที่คุณได้ทำด้วยความรักไว้เสมอ
4. ความมานะอดทนนำไปสู่การรับพระสัญญา (ข้อ 11-15)
ผู้เขียนยกตัวอย่าง อับราฮัม ผู้ซึ่งรอคอยด้วยความอดทนจนได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้
- ข้อคิด: "ความเชื่อ" ต้องมาคู่กับ "ความอดทน" หลายครั้งเราพลาดพระพรเพราะเราเลิกราไปเสียก่อน ความสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญของการเดินกับพระเจ้า
5. พระสัญญาของพระเจ้าคือ "สมอ" ของจิตวิญญาณ (ข้อ 16-20)
นี่คือภาพเปรียบเทียบที่สวยงามที่สุดข้อหนึ่ง ความหวังในพระเยซูคริสต์เปรียบเสมือน "สมอที่มั่นคงและแน่นอน" ที่ยึดจิตวิญญาณของเราไว้ท่ามกลางพายุของชีวิต
- ข้อคิด: ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรามีสิ่งที่พึ่งพาได้ 2 อย่างที่ไม่มีวันเปลี่ยนคือ พระดำรัส และ คำปฏิญาณของพระเจ้า พระเจ้าไม่มุสา ดังนั้นเราจึงวางใจในอนาคตของเราได้อย่างสิ้นเชิง
ฮีบรู 6 หนุนใจให้เราสำรวจตัวเองว่า เรากำลังเติบโตขึ้นไหม? อย่าท้อใจในการทำดี เพราะพระเจ้าทรงเห็น และจงยึดความหวังในพระคริสต์ไว้ให้มั่นเหมือนสมอเรือที่ไม่ยอมให้เราหลุดลอยไปตามกระแสโลก