เรื่องย่อ
จากเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของผู้กล้าแห่งความเชื่อที่บันทึกไว้ในทำเนียบเกียรติยศ ฮีบรู 11-13 ได้จุดประกายให้เราก้าวเดินในเส้นทางแห่งความเชื่ออันมั่นคง โดยชี้ให้เห็นถึงเมฆหมอกของพยานผู้สัตย์ซื่อมากมายที่คอยหนุนใจให้เราทิ้งภาระและบาปที่ถ่วงอยู่ แล้ววิ่งไปข้างหน้าอย่างอดทน โดยจับจ้องไปที่พระเยซูผู้ทรงเป็นผู้บุกเบิกและผู้ทำให้ความเชื่อสมบูรณ์แบบ จากนั้น ผู้เขียนได้เปลี่ยนไปสู่การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเรียกร้องให้ดำเนินชีวิตด้วยความรักฉันพี่น้อง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อแขกแปลกหน้า ระลึกถึงผู้ที่ถูกจำจอง ให้เกียรติการสมรส และใช้ชีวิตด้วยความพอใจ ไม่โลภในทรัพย์สินเงินทอง สุดท้าย ท่านได้กำชับให้เชื่อฟังผู้นำฝ่ายวิญญาณและจงถวายเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญแด่พระเจ้าเสมอ รวมถึงการทำความดีและแบ่งปันแก่ผู้อื่น เป็นการสรุปว่าชีวิตแห่งความเชื่อที่แท้จริงนั้นต้องสำแดงออกในทางปฏิบัติอันเปี่ยมด้วยความรักและการถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสิ่ง
บทที่ 11 ของจดหมายฮีบรู หรือ "หอแห่งความเชื่อ" เริ่มต้นด้วยการให้คำจำกัดความของความเชื่อว่าเป็นความแน่ใจในสิ่งที่หวังและมั่นใจในสิ่งที่ยังไม่เห็น ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในพระคริสต์ ผู้คนในพันธสัญญาเดิมก็รอดโดยความเชื่อนี้เช่นกัน โดยได้รับการรับรองและเป็นที่ยกย่องเพราะความเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ แม้จะไม่รู้จักพระนามพระเยซู การเดินไปตามเรื่องราวของบุคคลสำคัญในพันธสัญญาเดิม แสดงให้เห็นว่าความเชื่อไม่ได้เป็นเพียงการเชื่อว่าพระเจ้าจะอวยพรตามที่เราต้องการ แต่ยังรวมถึงการอดทนต่อการทดลองและความยากลำบากอย่างไม่น่าเชื่อด้วย บางคนประสบชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แต่บางคนก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานขั้นสูงสุด
แม้บุคคลแห่งความเชื่อเหล่านี้จะไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ในชีวิตนี้ (คือการมาของพระเมสสิยาห์) แต่ชีวิตของพวกเขาก็เป็นพยานถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าและคุณค่าของพระเยซู ปัจจุบันพวกเขาอยู่ในที่ประทับของพระองค์และตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยแบบอย่างของพวกเขา ผู้เขียนกระตุ้นให้เราละทิ้งภาระทั้งปวงและจดจ่ออยู่กับเส้นชัย ในฐานะบุตรของพระเจ้า เราต้องยอมรับการตีสอนของพระองค์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขและฝึกฝนเรา ไม่ใช่เพื่อลงโทษ
ผู้เขียนหนุนใจให้ดำเนินชีวิตด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความบริสุทธิ์ และต่อสู้กับความขมขื่นและความบาป โดยอ้างถึงเอซาวเป็นตัวอย่างเพื่อเตือนว่าบาปมีผลที่ตามมา แม้ว่าพระเจ้าจะทรงอภัยบาป แต่ผลลัพธ์บางอย่างของการกระทำของเราอาจส่งผลกระทบในระยะยาวในชีวิตนี้ ผู้เขียนยังระบุถึงสิ่งที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย ได้แก่ ความรักต่อกัน ความเมตตาต่อคนแปลกหน้า การดูแลผู้ขัดสน การให้เกียรติการแต่งงาน ความพอใจ การเคารพผู้นำ การทำความดี การแบ่งปัน และการยึดมั่นในหลักคำสอนที่มั่นคง และจบลงด้วยคำอวยพรอันงดงามในบทที่ 13:20-21 โดยย้ำว่าพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงทำให้เราเพียบพร้อมและทำกิจในเราเพื่อให้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์
ข้อคิด: ฮีบรู 11-13
ดังที่ฮีบรู 11:6 กล่าวไว้ว่า "แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าเลย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์" พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จ และบำเหน็จอันประเสริฐที่สุดที่เราจะได้รับจากการแสวงหาพระองค์คือการได้รู้จักพระองค์มากขึ้น ไม่มีสิ่งใดดีกว่า ไม่มีสิ่งใดอยู่ได้นานกว่า และไม่มีสิ่งใดที่จะถูกพรากไปจากเราได้ เพราะพระองค์ไม่เพียงทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงเป็นบำเหน็จนั้นเอง และในพระองค์นั่นแหละคือแหล่งแห่งความชื่นชมยินดี
คำถาม
1. ในบทที่ 11 เมื่อผู้เขียนระบุว่าฮีโร่แห่งความเชื่อหลายคน "ตายไปโดยที่ยังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้" แต่พวกเขายังคงยืนหยัดเพราะมองเห็น "บำเหน็จ" และ "เมืองที่พระเจ้าทรงสร้าง" แต่ไกล ความจริงข้อนี้ท้าทายให้เราเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ จากการมุ่งหวังความสำเร็จหรือคำตอบในโลกนี้ ไปสู่เป้าหมายใด? (เพื่อให้เราพิจารณาว่า วัตถุประสงค์ของความเชื่อที่แท้จริง ไม่ใช่เครื่องมือในการเสกสรรปั้นแต่งชีวิตปัจจุบันให้สุขสบายตามใจนึก แต่คือ "ความมั่นใจ" ที่ทำให้เรายอมรับสถานะ "คนแปลกถิ่น" ในโลกนี้ เพื่อแสวงหาและมุ่งหน้าไปสู่อาณาจักรถาวรในสวรรค์ ซึ่งเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่โลกมอบให้)
2. ในบทที่ 12 เมื่อความทุกข์ยากถูกเปรียบเทียบว่าเป็น "การตีสอน" จากบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก เพื่อให้เรา "มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์" การเปลี่ยนมุมมองจาก "ผู้ถูกกระทำ" มาเป็น "ผู้ถูกฝึกฝน" ช่วยตอบคำถามเรื่องวัตถุประสงค์ของความเจ็บปวดในชีวิตเราอย่างไร? (เพื่อกระตุ้นให้ตระหนักว่า วัตถุประสงค์ของวิกฤตหรือความยากลำบากที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น ไม่ใช่การลงโทษเพื่อทำลาย แต่เป็นกระบวนการ "ขัดเกลา" และ "สร้างกล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณ" เพื่อให้เราเกิดผลเป็นความชอบธรรม และมีความเข้มแข็งพอที่จะรับมรดกในอาณาจักรที่ไม่มีวันสั่นสะเทือนได้)
ฮีบรู บทที่ 13 เป็นบทสรุปที่เต็มไปด้วยคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับการดำเนินชีวิตคริสเตียน โดยเน้นไปที่การสำแดงความเชื่อออกมาเป็น "การกระทำ" และการรักษาความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า นี่คือข้อคิดสำคัญที่สรุปได้จากบทนี้ครับ:
1. ความรักในชุมชนและความเมตตา (ข้อ 1-3)
- รักพี่น้องต่อไป: การเป็นคริสเตียนไม่ได้มีแค่เรื่องส่วนตัวกับพระเจ้า แต่คือการรักษาความสัมพันธ์กับพี่น้องความเชื่อให้เหนียวแน่น
- การต้อนรับแขก: เราควรมีใจกว้างขวาง เพราะบางครั้งเราอาจกำลังต้อนรับ "ทูตสวรรค์" โดยไม่รู้ตัว (สื่อถึงการปรนนิบัติผู้อื่นด้วยใจยินดี)
- ความเห็นอกเห็นใจ: ให้ระลึกถึงผู้ที่ถูกจองจำหรือถูกทารุณ เหมือนกับว่าเราเผชิญเหตุการณ์นั้นร่วมกับเขา
2. ความบริสุทธิ์และการพอใจในสิ่งที่ตนมี (ข้อ 4-6)
- ให้เกียรติการสมรส: เน้นย้ำความซื่อสัตย์ในชีวิตคู่และความบริสุทธิ์ทางเพศ
- อย่ารักเงิน: ให้พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่า "เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย" นี่คือรากฐานของความมั่นคงทางใจที่ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งของ
3. ความเชื่อที่มั่นคงและการเชื่อฟัง (ข้อ 7-9, 17)
- เลียนแบบแบบอย่างที่ดี: ให้ระลึกถึงผู้นำที่สอนพระวจนะและดูแบบอย่างชีวิตของเขา
- พระเยซูไม่เปลี่ยนแปลง: "พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งเมื่อวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์" ข้อนี้เตือนสติว่าแม้โลกจะเปลี่ยนไป หรือมีคำสอนแปลกๆ เข้ามา แต่ความจริงของพระเจ้ายังคงเดิม
- การเชื่อฟังผู้นำ: การให้ความร่วมมือกับผู้นำฝ่ายวิญญาณด้วยความยินดี เพื่อให้เขาทำงานดูแลจิตวิญญาณเราได้โดยไม่หนักใจ
4. การถวายเครื่องบูชาด้วยชีวิต (ข้อ 15-16)
- คำสรรเสริญคือเครื่องบูชา: ไม่ใช่แค่สัตว์หรือสิ่งของ แต่คือ "คำสรรเสริญ" จากปากที่ยอมรับพระนามของพระองค์
- การทำดีและการแบ่งปัน: พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องบูชาที่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่นและการแบ่งปันสิ่งที่มีให้แก่กัน
5. เป้าหมายสูงสุด: การทำตามพระทัยพระเจ้า (ข้อ 20-21)
- พระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งแห่งสันติสุข จะทรงให้เรา "สมบูรณ์ในความดีทุกอย่าง" เพื่อให้เราสามารถทำตามพระทัยของพระองค์ได้ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์
"ชีวิตคริสเตียนที่แท้จริง ไม่ได้วัดกันที่ความรู้ในหัว แต่ใจที่พอเพียง มือที่ยื่นออกไปช่วยผู้อื่น และความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง"