Thai Mission Reading Plan 2025

อ่านพระคัมภีร์ให้สนุกและเกิดผลในหนึ่งปี มีข้อคิดที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ทุกตอน


Started on: Jan. 1, 2025

ร่วมกลุ่มอ่านพระคัมภีร์ในแผนนี้

อ่านพระคัมภีร์ | READ SCRIPTURES

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 56

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 120

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 140

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 141

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 142

เรื่องย่อ

ในพระธรรมสดุดีที่เขียนโดยดาวิด เขาได้สะท้อนความรู้สึกระหว่างที่ต้องเผชิญกับศัตรูและความทุกข์ในชีวิต ใน สดุดี 56 ดาวิดร้องขอพระเจ้าให้ทรงช่วยเหลือเมื่อถูกคุกคามจากผู้ที่มุ่งร้าย และเขายืนยันความเชื่อในพระเจ้าแม้ในเวลาที่ยากลำบาก ใน สดุดี 120 ดาวิดแสดงความเจ็บปวดจากการถูกพาตัวไปในแดนของผู้หลอกลวง และขอให้พระเจ้าทรงช่วยส่งความยุติธรรม ในขณะเดียวกัน สดุดี 140-142 สะท้อนถึงความรู้สึกของการอธิษฐานเพื่อขอการปกป้องและการนำทางจากพระเจ้าในสิ่งที่ผิดหวังและความข่มเหงที่เขาเผชิญ แต่ดาวิดยังเต็มไปด้วยความหวังในความรักและความเมตตาของพระเจ้าที่จะนำพาเขาไปสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขและความยุติธรรม

 

ดาวิดตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เขาเผชิญผ่านบทเพลงต่าง ๆ โดยใช้ความเชื่อเป็นแรงขับเคลื่อน แม้ว่าเขาจะได้รับสัญญาว่าจะได้ครองบัลลังก์ แต่กลับต้องเผชิญกับการไล่ล่าจากกษัตริย์องค์ปัจจุบัน และอาศัยอยู่ในทะเลทราย สดุดีที่เขาเขียนมีทั้งคำคร่ำครวญและความหวัง ซึ่งสะท้อนถึงความจริงใจของเขาต่อพระเจ้าในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ใน สดุดี 56 ดาวิดมุ่งความสนใจไปที่พระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากของเขา เขารู้ว่าพระเจ้านั้นอยู่ใกล้และทรงเห็นความทุกข์ของเขา และแม้จะดูเหมือนพระเจ้าอยู่ห่างไกล แต่เขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงนับทุกน้ำตาของเขา ใน สดุดี 120 ดาวิดสะท้อนความรู้สึกที่วุ่นวายและจริงใจที่เขามีต่อพระเจ้า ทำให้เรารู้ว่าพระเจ้าเชื้อเชิญให้เราอธิษฐานแม้ในช่วงเวลาที่เรารู้สึกไม่สมบูรณ์

สดุดี 140 และ 141 นั้น ดาวิดยังคงวิงวอนขอการช่วยเหลือจากพระเจ้าเพื่อปกป้องเขาจากศัตรูและขอให้พระเจ้าทรงปกป้องถ้อยคำและหัวใจของเขา เนื่องจากเขาตระหนักถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากใจที่หลงผิด ใน สดุดี 142 ดาวิดระบายความเศร้าโศกต่อพระเจ้า ทั้งยังแสดงความหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในอนาคต แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยว เขายังคงเชื่อมั่นในพระเจ้า และศรัทธาว่าพระองค์จะทรงช่วยเหลือเขาในที่สุด

 

ข้อคิด: สดุดี 56;120;140-142

พระเจ้าทรงใส่ใจต่อความทุกข์ของดาวิด โดยทรงเก็บน้ำตาของเขาและบันทึกทุกความเจ็บปวดที่เขาเผชิญ แม้ว่าดาวิดจะเคยมีชีวิตที่หรูหราในพระราชวัง มีความสำเร็จในสงคราม และเพื่อนสนิทที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเขา แต่ตอนนี้เขาต้องอาศัยอยู่ในทะเลทรายร่วมกับผู้ชายหกร้อยคนที่ไม่เข้าใจเขา เขายึดมั่นในพระเจ้าในขณะที่ไม่สามารถถวายเครื่องบูชาและปฏิบัติตามเทศกาลในเมืองได้ เขามีเพียงคำอธิษฐาน คำสรรเสริญ และน้ำตาเพื่อถวายแด่พระเจ้า ดาวิดรู้ดีว่าเขามาหาพระเจ้าด้วยมือเปล่าและต้องการความช่วยเหลือมากมาย ความหวังเดียวของเขาคือพระเจ้า ซึ่งเป็นความหวังเดียวของเราด้วย พระเจ้าเข้าใจว่าเราไม่สามารถถวายอะไรได้มากนัก แต่พระองค์ยังคงรักและชื่นชอบเรา เราสามารถนำความต้องการและความรู้สึกว่างเปล่าของเราไปหาพระองค์ได้ เพราะพระองค์อยู่ที่แห่งความปีติยินดี

 

คำถาม

1.   การเผชิญหน้ากับความกลัวและความวิตกกังวล: ในสดุดีบทที่ 56 ดาวิดกล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับศัตรูและความกลัว คุณคิดว่าเราในชีวิตประจำวันสามารถจัดการกับความกลัวและความวิตกกังวลได้อย่างไร? การที่เราหาความมั่นใจจากพระเจ้าในช่วงเวลาที่ยากลำบากมีส่วนช่วยให้เรารู้สึกสงบและมีสติได้อย่างไร?

2.   การขอความช่วยเหลือในยามวิกฤติ: สดุดีบทที่ 140-142 แสดงถึงการขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในเวลาที่เผชิญกับความท้าทายและอุปสรรค คุณคิดว่าการร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าหรือผู้คนรอบตัวเราสำคัญอย่างไรในชีวิตประจำวัน? เราสามารถสร้างวัฒนธรรมการสนับสนุนและการขอความช่วยเหลือในสังคมได้อย่างไรเพื่อช่วยให้เราผ่านพ้นความยากลำบากได้มากขึ้น?

 

 

สดุดี 142 เป็นบทเพลงคร่ำครวญของดาวิดในขณะที่ท่านหลบหนีจากกษัตริย์ซาอูลและอยู่ในถ้ำ บทเพลงนี้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกโดดเดี่ยว สิ้นหวัง และความทุกข์ยากของดาวิด แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและการวางใจในพระเจ้า

ข้อคิดที่ได้จากสดุดี 142:

  • การระบายความเศร้าโศกต่อพระเจ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง: ดาวิดไม่ได้เก็บงำความรู้สึกทุกข์ยากไว้ แต่ท่านระบายทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยเสียงอันดัง (ข้อ 1-2) การที่เราเปิดใจและระบายความรู้สึกต่อพระเจ้าไม่ได้เป็นการแสดงความไม่เชื่อ แต่เป็นการแสดงความไว้วางใจว่าพระองค์ทรงรับฟังและเข้าใจ
  • ในยามที่สิ้นหวัง พระเจ้าทรงทราบทางของเรา: แม้ดาวิดจะรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจและไม่มีทางออก (ข้อ 4) แต่ท่านตระหนักว่าพระเจ้าทรงทราบทางของท่าน (ข้อ 3) ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด จงจำไว้ว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเราและทรงทราบทุกสิ่งที่เราเผชิญ
  • พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นทุกสิ่งของเรา: ดาวิดประกาศว่าพระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นส่วนมรดกของท่านในแผ่นดินของคนเป็น (ข้อ 5) เมื่อเราไม่มีใครอื่นและไม่มีที่พึ่ง พระเจ้าทรงเป็นที่หลบภัยที่มั่นคงและเป็นสิ่งที่เรายึดมั่นได้
  • การร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยความจริงใจนำมาซึ่งการช่วยเหลือ: ดาวิดร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าเพราะท่านตกต่ำมากนักและผู้ข่มเหงแข็งแกร่งกว่าท่าน (ข้อ 6) การอธิษฐานด้วยความจริงใจและความอ่อนน้อมนำมาซึ่งการตอบสนองจากพระเจ้า
  • การช่วยกู้ของพระเจ้านำมาซึ่งการขอบพระคุณและการเป็นพยาน: ดาวิดหวังว่าเมื่อพระเจ้าทรงนำท่านออกจากคุก (สัญลักษณ์ของความทุกข์ยาก) ท่านจะขอบพระคุณพระนามของพระองค์ และคนเที่ยงธรรมจะอยู่ล้อมรอบท่านเพราะพระองค์ทรงทำดีต่อท่าน (ข้อ 7) การได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเป็นเหตุให้เราขอบพระคุณและเป็นพยานถึงพระคุณของพระองค์

การหนุนใจที่ได้จากสดุดี 142:

  • อย่าท้อแท้เมื่อเผชิญความทุกข์ยาก: เช่นเดียวกับดาวิด เราอาจเผชิญช่วงเวลาที่รู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง แต่บทเพลงนี้หนุนใจให้เรานำความรู้สึกเหล่านั้นมาทูลต่อพระเจ้า
  • วางใจในความรักและความเมตตาของพระเจ้า: แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด พระเจ้ายังคงทรงรักและห่วงใยเรา พระองค์ทรงพร้อมที่จะช่วยเหลือและเป็นที่ลี้ภัยของเรา
  • อธิษฐานด้วยความเชื่อมั่น: การอธิษฐานด้วยความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงฟังและจะทรงตอบคำร้องขอของเราเป็นสิ่งสำคัญ
  • คาดหวังในการช่วยกู้ของพระเจ้า: ดาวิดมีความหวังในการช่วยกู้ของพระเจ้า และเราก็สามารถมีความหวังเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงสามารถนำเราออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบากได้
  • จดจำพระคุณของพระเจ้าและแบ่งปัน: เมื่อพระเจ้าทรงช่วยเหลือเรา จงจดจำพระคุณของพระองค์และแบ่งปันประสบการณ์นั้นกับผู้อื่นเพื่อเป็นกำลังใจ

สดุดี 142 เป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้ในความมืดมิดและความสิ้นหวัง เราสามารถหันเข้าหาพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยและความหวังของเราได้เสมอ การระบายความเศร้าโศกต่อพระองค์ด้วยความจริงใจจะนำมาซึ่งการหนุนใจและการช่วยกู้ในที่สุด