Thai Mission Reading Plan 2025

อ่านพระคัมภีร์ให้สนุกและเกิดผลในหนึ่งปี มีข้อคิดที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ทุกตอน


Started on: Jan. 1, 2025

ร่วมกลุ่มอ่านพระคัมภีร์ในแผนนี้

อ่านพระคัมภีร์ | READ SCRIPTURES

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 25

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 29

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 33

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 36

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สดุดี 39

เรื่องย่อ

เมื่อความไม่แน่นอนในชีวิตเกิดขึ้น คำสดุดีบทที่ 25 เริ่มต้นด้วยความหวังและการวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ดาวิดเปิดเผยถึงความอ่อนแอและความต้องการในการนำทางจากพระเจ้า โดยเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงสอนและนำเขาไปในหนทางที่ถูกต้อง จากนั้นในสดุดี 29 ดาวิดยกย่องพระเจ้าผู้ทรงอำนาจที่สำแดงพระองค์ในธรรมชาติ พร้อมด้วยการเรียกร้องให้ประชาคนสรรเสริญพระองค์ ในสดุดี 33 มีการเฉลิมฉลองถึงพระเจ้าและความสัตย์ซื่อของพระองค์ในการปกป้องและช่วยเหลือประชาชน ในขณะที่สดุดี 36 สื่อถึงพระคุณอันแสนยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ตามมาด้วยการให้ความรู้และปัญญาหมายเลขให้ประชาชน และสดุดี 39 เป็นอารมณ์ที่ลึกซึ้ง เมื่อดาวิดระลึกถึงความเปราะบางของชีวิต เขาได้เรียกร้องพระเจ้าให้ทรงระลึกถึงความทุกข์ยากของเขา ในความเป็นจริง คำสดุดีเหล่านี้ทลายจากความทุกข์และความกดดันไปสู่การสรรเสริญพระเจ้า แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการยอมรับและเคารพในพระเจ้าในทุกช่วงชีวิต เป็นการย้ำเตือนว่าแม้ในยามที่ท้าทาย พระเจ้าทรงอยู่ใกล้และเต็มไปด้วยความเมตตา

 

ในสดุดี 25:8 กษัตริย์ดาวิดแสดงถึงความเมตตาและความยุติธรรมของพระเจ้า โดยระบุว่าพระองค์ทรงชี้นำผู้ที่หลงผิดสู่เส้นทางที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงสอนในลูกา 5:31–32 โดยกล่าวถึงความสำคัญของการชี้นำผู้ที่หลงผิดกลับสู่ทางที่ดี ไม่ใช่เพียงความชอบธรรมที่ทำให้พระอยู่ไกลจากคนบาป แต่ความกรุณาและเต็มใจที่จะดึงผู้คนกลับมา ดาวิดเองก็ยอมรับในข้อ 11 ถึงความผิดพลาดของเขา ด้วยการขออภัยโทษจากพระเจ้าเพื่อธรรมของพระองค์ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แสดงถึงความรู้และการถ่อมตนที่เขามี การทำเช่นนี้ช่วยให้เห็นถึงบุคลิกที่อ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาของพระเจ้า ที่ไม่เพียงแค่อภัยบาป แต่ยังเสริมสร้างผู้ที่กลับใจด้วย

ต่อมาในสดุดี 29 และ 33 ดาวิดใช้ภาพลักษณ์ของธรรมชาติและการสรรเสริญเพื่อสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระองค์เปรียบเหมือนพายุตามธรรมชาติที่มีพลัง แต่ยังคงมีความสงบสุขที่ส่งเสริมแก่ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ การยอมรับและยำเกรงพระเจ้าเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่ชอบธรรมได้เห็นและได้รับพรจากพระองค์ การสรรเสริญพระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความขอบคุณ แต่เป็นการปรับตัวเข้ากับวัตถุประสงค์แท้จริงที่พระเจ้าสร้างไว้ ความใกล้ชิดนี้เปิดโอกาสให้ได้รับความลับและความรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้ศรัทธา

ในสดุดี 36 และ 39 ดาวิดยอมรับถึงความบาปและความอ่อนแอของมนุษย์ เขาตระหนักว่าทุกคนมีความบาปในตัว และบางครั้งก็ยอมแพ้ต่อความผิดพลาด แต่การมีความรู้ถึงความบาป และกลับใจขอการอภัยนั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน ผู้ที่ติดตามพระคริสต์ได้รับการยกย่องให้เป็นคนชอบธรรม เพราะความเมตตาของพระคริสต์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต แม้แต่ในช่วงเวลาของความทุกข์และโศกเศร้า การบ่นและขอพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ และเรียนรู้จากความผิดพลาดเป็นทางที่เหมาะสมในการรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับพระเจ้า ความแท้จริงของการเป็นผู้เชื่ออยู่ในการยอมรับและการมองเห็นถึงพระเมตตาที่มาอย่างไม่สิ้นสุดจากพระเจ้า

Top of Form

 

ข้อคิด: สดุดี 25; 29; 33; 36; 39

หัวใจของเรามีความยินดีในพระเจ้า เพราะเราวางใจในพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ตามที่กล่าวในสดุดี 33:21 ความยินดีนี้เกิดขึ้นจากความไว้วางใจในพระเจ้า เพราะยากที่จะรู้สึกยินดีในคนที่เราไม่ไว้วางใจ เมื่อมีความระมัดระวังหรือสงสัย การที่จะมอบใจไว้กับพระเจ้าย่อมหมายถึงการเชื่อในความดีและความตั้งใจของพระองค์ และเมื่อเราวางใจพอที่จะละทิ้งความระมัดระวัง ความยินดีก็จะเกิดขึ้นจากการพึ่งพิงในพระองค์ หากคุณยังไม่สามารถรู้สึกเช่นนั้นได้ จงให้โอกาสพระเจ้าทำงานในชีวิตของคุณ เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะเห็นความรักและความซื่อสัตย์ของพระองค์ชัดเจนขึ้น และวันหนึ่งคุณจะเปล่งเสียงด้วยความมั่นใจว่า “พระองค์คือแหล่งความยินดีของข้า!

 

คำถาม

1.   การแสวงหาความเมตตาและความเชื่อในพระเจ้าสำหรับการดำเนินชีวิต: สดุดี 25, 29, 33, 36, และ 39 เน้นถึงความสำคัญของการวอนขอพระคุณ การเชื่อฟังพระเจ้า และการวางใจในพระองค์ในการนำทางชีวิตคำถามคือ เราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพระเจ้าและรับความเมตตาในทุกด้านของชีวิตได้อย่างไรในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความวุ่นวาย?

2.   การใช้คำพูดและความคิดเพื่อเสริมสร้างจิตใจและความเชื่อ: สดุดีในบทต่างๆ ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการควบคุมคำพูดและความคิดเพื่อรักษาความสุขและความสงบในใจ เช่น สดุดี 39 ที่เตือนเรื่องความระวังการพูดและความประหยัดในคำพูด คำถามคือ เราจะสามารถใช้คำพูดและความคิดในแบบที่เสริมสร้างจิตใจและความเชื่อของตนเอง รวมถึงส่งเสริมความสัมพันธ์กับผู้อื่นในชีวิตประจำวันอย่างไร?

 

 

สดุดี 39 เป็นบทเพลงคร่ำครวญส่วนตัวที่กษัตริย์ดาวิดทรงเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่ประสบกับความทุกข์ยากและการถูกทดลอง แม้ว่าบทเพลงนี้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกถึงความเปราะบางของชีวิต แต่ก็มีข้อคิดและคำสอนที่หนุนใจให้เราได้ไตร่ตรองถึงชีวิต ความเปราะบางของมนุษย์ และความหวังในพระเจ้า ดังนี้:

1. ความสั้นของชีวิตและความไม่จีรัง: ดาวิดตระหนักถึงความสั้นและความไม่แน่นอนของชีวิตมนุษย์ ("ดูเถิด พระองค์ทรงกระทำให้วันเวลาของข้าพระองค์เป็นเพียงคืบเดียว ช่วงชีวิตของข้าพระองค์เป็นเหมือนไม่มีอะไรเลยต่อพระพักตร์พระองค์ แน่ทีเดียว มนุษย์ทุกคนเมื่อดีที่สุดก็เป็นเพียงลมหายใจ" สดุดี 39:5) ข้อนี้เตือนใจให้เราเห็นคุณค่าของแต่ละวันและใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

2. ความว่างเปล่าของการสะสมทรัพย์สมบัติทางโลก: ดาวิดสังเกตว่ามนุษย์วุ่นวายกับการสะสมทรัพย์สมบัติ แต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้เก็บเกี่ยว ("แน่ทีเดียว มนุษย์ทุกคนเดินไปมาเหมือนเงา แน่ทีเดียว เขาทั้งหลายวุ่นวายเพื่อความว่างเปล่า เขาเก็บทรัพย์สมบัติไว้ แต่ไม่รู้ว่าใครจะรวบรวม" สดุดี 39:6) ข้อนี้สอนให้เราอย่าให้ความสำคัญกับสิ่งของภายนอกมากเกินไป

3. ความหวังเดียวของเราอยู่ในพระเจ้า: ในท่ามกลางความทุกข์ ดาวิดหันไปหาพระเจ้าและวางความหวังไว้ในพระองค์ ("และบัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์จะรอคอยอะไร? ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์" สดุดี 39:7) ข้อนี้หนุนใจให้เราวางใจในพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่พึ่งแท้จริงของเรา

4. การยอมรับการตีสอนของพระเจ้า: ดาวิดยอมรับว่าความทุกข์ที่เขาเผชิญอยู่นั้นมาจากการตีสอนของพระเจ้าสำหรับความผิดบาปของเขา ("ขอทรงนำภัยพิบัติของพระองค์ไปจากข้าพระองค์ ข้าพระองค์ถูกทำลายด้วยการโจมตีแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงติเตียนมนุษย์ด้วยความผิดบาปของเขา พระองค์ทรงทำลายความงามของเขาให้สูญสิ้นไปเหมือนแมลงกินผ้า แน่ทีเดียว มนุษย์ทุกคนเป็นเพียงลมหายใจ" สดุดี 39:10-11) ข้อนี้สอนให้เราเปิดใจรับการแก้ไขจากพระเจ้า ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อนำเรากลับสู่ทางที่ถูกต้อง

5. การอธิษฐานและการร้องทูลต่อพระเจ้า: ดาวิดร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยน้ำตาและขอให้พระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของเขา ("ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับเสียงร้องทูลของข้าพระองค์ ขออย่าทรงนิ่งเงียบต่อน้ำตาของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์เป็นคนต่างด้าวอยู่กับพระองค์ เป็นคนพเนจรเหมือนบรรพบุรุษทั้งสิ้นของข้าพระองค์" สดุดี 39:12) ข้อนี้สนับสนุนให้เราเข้าใกล้พระเจ้าด้วยความจริงใจและระบายความรู้สึกของเราต่อพระองค์

6. การเป็นคนแปลกหน้าและคนพเนจรบนโลกนี้: ดาวิดตระหนักว่าชีวิตบนโลกนี้เป็นเพียงชั่วคราวและเราเป็นเหมือนคนแปลกหน้าหรือคนพเนจร ("เพราะข้าพระองค์เป็นคนต่างด้าวอยู่กับพระองค์ เป็นคนพเนจรเหมือนบรรพบุรุษทั้งสิ้นของข้าพระองค์" สดุดี 39:12) ข้อนี้ช่วยให้เรามีมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับโลกและเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิต

7. การขอให้พระเจ้าทรงผ่อนคลายความทุกข์เพื่อจะมีกำลังก่อนจากไป: ดาวิดขอให้พระเจ้าทรงหันพระพักตร์ไปจากเขา เพื่อให้เขามีกำลังใจขึ้นบ้างก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป ("ขอทรงหันพระพักตร์ไปจากข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะมีกำลังใจขึ้นบ้าง ก่อนที่ข้าพระองค์จะจากไปและไม่มีอยู่อีกต่อไป" สดุดี 39:13) ข้อนี้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะมีสันติสุขและความชื่นชมยินดีในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

โดยรวมแล้ว สดุดี 39 สอนให้เรายอมรับความจริงเกี่ยวกับความไม่จีรังของชีวิต ให้วางความหวังไว้ในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ให้เปิดใจรับการตีสอนของพระองค์ และให้เข้าใกล้พระองค์ด้วยการอธิษฐานในทุกสถานการณ์ บทเพลงนี้เป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังถึงความจำเป็นที่เราต้องพึ่งพาพระเจ้าในทุกช่วงเวลาของชีวิต