เรื่องย่อ
กษัตริย์ดาวิดทรงตัดสินใจทำการสำรวจสำมะโนประชากรโดยไม่ได้ขอให้พระเจ้าทรงนำทาง ซึ่งเป็นการกระทำที่พิโรธพระเจ้า ความบาปนี้นำมาซึ่งภัยพิบัติครั้งใหญ่ต่ออิสราเอล ดาวิดสำนึกผิดในความผิดพลาดของเขา และในการตอบสนองต่อคำวิงวอนของเขา พระเจ้าทรงสั่งให้ดาวิดสร้างแท่นบูชาแก่พระเจ้าบนลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบูส หลังจากนั้น ภัยพิบัติก็สิ้นสุดลง ดาวิดซื้อลานนวดข้าวและสัตว์มาถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า และพระองค์ทรงรับคำวิงวอนเพื่ออิสราเอล
บันทึกการสำรวจสำมะโนประชากรในพระคัมภีร์มีความแตกต่างกันสองฉบับ คือ ซามูเอล 2 บอกว่าพระเจ้าทรงให้ดาวิดทำการสำรวจเพื่อความเข้าใจของพระองค์เอง ขณะที่ 1 พงศาวดารกล่าวว่าซาตานเป็นผู้อารักขาและยุยงให้ดาวิดทำการสำรวจ ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนเรื่องแรงจูงใจเบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่ความจริงคือ เหตุการณ์นี้เป็นไปตามแผนของพระเจ้า กล่าวคือ พระเจ้าทรงอนุญาตให้ความชั่วร้ายทำงานเพื่อให้พระองค์สามารถใช้เหตุการณ์นั้นเพื่อเป็นประโยชน์และบรรลุเป้าหมายที่ดีในที่สุด เช่นเดียวกับเรื่องของโยบที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทดสอบโยบเพื่อแสดงให้เห็นความเชื่อมั่นในพระองค์
การสำรวจสำมะโนประชากรในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป พระเจ้าทรงบัญชาให้ทำในบางสถานการณ์ แต่ในกรณีของดาวิด เขาทำด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่ตามคำสั่งของพระเจ้า โยอาบก็พยายามห้ามปราม แต่ดาวิดก็ยังเดินหน้าต่อไป ซึ่งอาจเป็นเพราะเขามองว่าการนับจำนวนประชากรเป็นเรื่องสำคัญในการวางแผนการรบ การสำรวจนี้ค้นเน้นไปที่ตัวเลข สื่อถึงความมั่นใจในขนาดของกองทัพมากกว่าพึ่งพาพระเจ้า ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดที่นำไปสู่ผลร้ายในที่สุด
เมื่อดาวิดกลับใจ พระเจ้าทรงให้ทางเลือกแก่เขาว่าจะรับผลที่ตามมาเป็นอะไร เช่น ความอดอยาก สงคราม หรือโรคระบาด ดาวิดเลือกโรคระบาด ซึ่งทำให้มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก แต่พระเจ้าทรงแสดงความเมตตาและหยุดการทำลายล้าง ด้วยความที่ดาวิดถวายเครื่องบูชาในสถานที่ที่พระเจ้าได้เลือกไว้ พระเจ้าทรงส่งไฟจากฟ้าเพื่อยืนยันว่าพื้นที่นี้เป็นที่อธิษฐานและประกอบพิธีกรรมได้อย่างสมเกียรติ หลังจากเหตุการณ์นี้ พระเจ้าทรงใช้พื้นที่นั้นสร้างพระวิหารในอนาคต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของบ้านพระเจ้าในเยรูซาเล็ม โดยพระองค์ยังสัญญากับดาวิดว่าลูกของเขาจะสืบเชื้อสายมาเป็นกษัตริย์และสร้างพระวิหารในอนาคตต่อไป
ข้อคิด: 2 ซามูเอล 24; 1พงศาวดาร 21-22; สดุดี 30
พระเจ้าทรงสามารถใช้ทุกสิ่งเพื่อประโยชน์ของพระองค์ แม้กระทั่งความบาปและความชั่วร้าย เช่น ในกรณีของดาวิด ที่บาปจากการสำรวจสำมะโนประชากรกลับกลายเป็นโอกาสในการสร้างวิหาร แม้ว่าแรงจูงใจชั่วจากวิญญาณชั่วร้ายจะปลุกเร้าดาวิด แต่พระเจ้าก็ใช้สิ่งนี้เพื่อให้แผนการของพระองค์เกิดขึ้นจริง พระองค์ทรงมีแผนสำหรับดาวิดและลูกชายของเขา โซโลมอน ที่จะสร้างบ้านของพระองค์ ตั้งแต่ก่อนที่ดาวิดจะทำบาปกับบัทเชบา พระเจ้าทรงใช้บาปเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของทุกคนในที่สุด พระองค์ทรงมีความกรุณาและทรงพลังเกินกว่าบาปใดๆ บาปไม่อาจเอาชนะพระเจ้าได้ และแม้ว่าจะนำความเจ็บปวดมา แต่สุดท้ายบาปนั้นก็มักจะสนับสนุนจุดประสงค์ของพระเจ้า ดังเช่นถ้อยคำของดาวิดในสดุดี 30 ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากความทุกข์สู่ความชื่นบานโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นการเตือนใจให้เราขอบพระคุณและหาความชื่นบานในพระองค์เสมอ
คำถาม
1. พระคัมภีร์บอกเราถึงพระคุณและการให้อภัยของพระเจ้าในการฟื้นฟูชีวิตหลังความผิดพลาด และการคืนดีกับพระองค์ เช่นใน 1 พงศาวดาร 21-22 และ สดุดี 30 เราจะนำหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตครอบครัวและชุมชนคริสตจักรอย่างไร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เกิดการกลับใจและความสุขในพระเจ้า?
2. ใน 2 ซามูเอล 24 การเกิดโรคระบาดและการสำนึกผิดของดาวิด เราจะอธิบายได้อย่างไรเกี่ยวกับการรับมือกับวิกฤตในชีวิตครอบครัวและชุมชนคริสตจักร? และเราจะใช้บทเรียนจากพระคัมภีร์นี้เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในพระเจ้าในช่วงเวลาที่เผชิญกับความยากลำบากได้อย่างไร?
สดุดีบทที่ 30 เป็นบทเพลงสรรเสริญที่กษัตริย์ดาวิดประพันธ์ขึ้นเพื่อขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้ช่วยชีวิตและกอบกู้พระองค์จากความทุกข์ยาก บทเพลงนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงจากความเศร้าโศกไปสู่ความยินดี และเป็นบทเรียนอันล้ำค่าสำหรับการดำเนินชีวิตของเรา
ข้อคิดสำคัญจากสดุดี 30
1. การพึ่งพาพระเจ้าในยามทุกข์ยาก: ดาวิดเริ่มต้นด้วยการร้องทูลต่อพระเจ้าเมื่อเผชิญกับความทุกข์ทรมานและความเจ็บป่วย พระองค์ตระหนักว่าพระองค์ไม่อาจยืนหยัดได้ด้วยกำลังของตนเอง ข้อคิดนี้สอนให้เรา ยอมรับความอ่อนแอของตนเอง และ หันไปพึ่งพาพระเจ้าอย่างจริงใจ ไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่เพียงใด
2. พระพิโรธของพระองค์เป็นเพียงชั่วคราว แต่ความโปรดปรานของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดชีวิต: สดุดี 30:5 กล่าวว่า "เพราะความกริ้วของพระองค์นั้นเป็นแต่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ความโปรดปรานของพระองค์นั้นตลอดชีวิต การร้องไห้อาจจะคงอยู่สักคืนหนึ่ง แต่ความยินดีจะมาเวลาเช้า" นี่คือข้อความแห่ง ความหวัง และ การปลอบโยน ที่ยอดเยี่ยม มันย้ำเตือนว่าแม้เราจะเผชิญกับความยากลำบาก ความเศร้าโศก หรือการตีสอนจากพระเจ้า แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงชั่วคราว และพระเมตตาของพระองค์นั้นมั่นคงนิรันดร์
3. ความภาคภูมิใจนำมาซึ่งความตกต่ำ: ดาวิดเคยคิดว่าตนเองมั่นคงและจะไม่หวั่นไหว (สดุดี 30:6) แต่เมื่อพระเจ้าทรงซ่อนพระพักตร์ ความรู้สึกมั่นคงนั้นก็หายไป นี่เป็นบทเรียนเตือนใจให้เรา ถ่อมใจ และ ไม่ยึดติดกับความสำเร็จหรือความมั่นคงทางโลก เพราะทุกสิ่งล้วนมาจากการอวยพรของพระเจ้า
4. การขอบพระคุณและการสรรเสริญ: เมื่อพระเจ้าทรงช่วยกู้ ดาวิดไม่เพียงแต่ดีใจ แต่ยัง สรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้า อย่างสุดใจ (สดุดี 30:4, 12) นี่คือการตอบสนองที่เหมาะสมเมื่อเราได้สัมผัสถึงพระคุณและความเมตตาของพระองค์
5. พระเจ้าทรงเปลี่ยนการไว้ทุกข์เป็นการเต้นรำ: สดุดี 30:11 เป็นข้อที่ทรงพลังมาก "พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนการไว้ทุกข์ของข้าพระองค์เป็นการเต้นรำ พระองค์ทรงถอดเสื้อผ้ากระสอบของข้าพระองค์ออก และทรงคาดเอวข้าพระองค์ด้วยความยินดี" ข้อนี้ชี้ให้เห็นถึง พลังแห่งการไถ่กู้ของพระเจ้า ที่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ที่สิ้นหวังให้กลับกลายเป็นความสุข ความชื่นชมยินดี และการเฉลิมฉลองได้
สดุดี 30 เป็นเครื่องเตือนใจว่าการเดินทางของชีวิตนั้นมีทั้งช่วงเวลาแห่งความมืดมิดและแสงสว่าง แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา พระองค์ทรงพร้อมที่จะช่วยกู้ เปลี่ยนแปลง และนำความยินดีมาสู่ชีวิตของเราเสมอ