เรื่องย่อ
ในพระธรรมสดุดี 119 เราได้เห็นความรักลึกซึ้งของผู้เขียนที่มีต่อพระคำของพระเจ้า ซึ่งเป็นแสงสว่างนำทางชีวิต เขายึดมั่นในพระบัญญัติและคำสอนของพระเจ้าอย่างแน่วแน่ พร้อมทั้งขอให้พระองค์นำทางและสอนให้เขารู้จักพระประสงค์ของพระองค์ ความรักและความภักดีนี้สะท้อนให้เห็นว่าการใฝ่หาและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเป็นเส้นทางสู่ปัญญา ความสุข และความสงบในใจ ทั้งยังเป็นแรงใจให้เรายืนหยัดในความเชื่อ แม้ในยามที่ชีวิตเต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรค พระวจนะของพระองค์เป็นพลังและแสงสว่างที่ไม่มีวันสิ้นสุดสำหรับเราในทุกยุคสมัย
สดุดี 119 เป็นบทที่ยาวที่สุดในพระคัมภีร์และเป็นบทสำคัญที่แต่งในรูปแบบเริ่มต้นด้วยอักษรฮีบรูเรียงไปตามลำดับ และแต่ละกลุ่มมี 8 ข้อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความรักของผู้แต่งต่อพระวจนะของพระเจ้า นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าผู้เขียนน่าจะเป็นเอสรา ซึ่งเป็นปุโรหิตและนักเขียนที่รักพระวจนะอย่างลึกซึ้ง เขาไม่ได้เขียนแบบครึ่งๆ กลางๆ แต่ลงใจเต็มที่เพื่อถ่ายทอดความซื่อสัตย์และความภักดีต่อพระเจ้าอย่างแรงกล้า
แม้ผู้แต่งจะเป็นคนที่รักพระวจนะของพระเจ้า แต่เขาเองก็ยอมรับว่าตนเองยังไม่สมบูรณ์ เขาเปรียบตัวเองว่าเป็น “แกะที่หลงทาง” ซึ่งขอให้พระเจ้าทำการค้นหาและพาเขากลับมา ความเข้าใจลึกซึ้งของเขาเกี่ยวกับธรรมชาติของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เขายกย่องอย่างมากในบทนี้ เขายกคุณสมบัติของพระเจ้าที่น่าชื่นชมหลายอย่าง เช่น ความชอบธรรม ความน่าเชื่อถือ ความสัตย์จริง ความไม่เปลี่ยนแปลง ความเป็นนิรันดร์ และความสว่าง ซึ่งลักษณะนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ที่น่าเชื่อถือและสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
บทนี้เน้นให้เราเห็นว่าการสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้ามาจากใจจริงและการรู้จักพระวจนะของพระองค์ นักเขียนบอกว่า เขาอยากเรียนรู้และจดจำพระคำของพระเจ้าอย่างจริงจัง และยินดีที่จะเน้นความสำคัญของพระวจนะในชีวิตประจำวัน แม้จะพบกับความทุกข์และความท้าทาย เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีเป้าหมายและจุดประสงค์ที่ดีในทุกสิ่งที่พระองค์ทำ เขายอมรับว่าการรักพระเจ้าไม่ใช่แค่ความสุขสบาย แต่ยังรวมถึงการเข้าใจและยอมรับความทุกข์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความจริงในความสัมพันธ์กับพระองค์ และเราสามารถวอนขอให้พระเจ้ามาใกล้และปลอบโยนเราในยามาที่รู้สึกเจ็บปวดได้เช่นกัน การรำลึกและรักพระวจนะของพระเจ้าเช่นนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราเข้มแข็งและอยู่ในเส้นทางของพระองค์อย่างแท้จริง
ข้อคิด: สดุดี 119
สดุดี 119:105 กล่าวว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมส่องเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างส่องทางของข้าพระองค์” ซึ่งเปรียบเสมือนเทียนเล่มเดียวที่ให้แสงสว่างเพียงพอสำหรับก้าวต่อไปในเส้นทางชีวิต คำว่าโคมส่องเท้าบอกว่าเราใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นแสงนำทางทีละก้าวอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกัน คำว่า “แสงสว่างส่องทาง” เป็นไฟส่องประกายและแรงบันดาลใจที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพใหญ่และพลังที่จะเดินต่อไป พระวจนะของพระเจ้าเป็นแสงทั้งสองประเภทนี้—ทั้งเป็นคำแนะนำทีละขั้นตอนและเป็นไฟที่ส่องสว่างเพื่อความหวังและความเข้าใจในชีวิต 2 ทิโมธี 3:16–17 ยืนยันว่า พระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้าและมีประโยชน์มากในการสอน การตักเตือน การแก้ไข และการอบรมในทางธรรม เพื่อให้เราพร้อมสำหรับการทำงานดีทุกอย่าง พระเจ้าทรงให้แสงและความชื่นชมยินดีผ่านพระวจนะของพระองค์ ซึ่งเป็นแสงสว่างและความหวังในทุกช่วงเวลาในชีวิตของเรา
คำถาม
1. สดุดี 119 เน้นความสำคัญของการรำลึกและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง เราจะสามารถนำแนวคิดนี้ไปส่งเสริมความใกล้ชิดกับพระเจ้าในชีวิตครอบครัวและชุมชนคริสตจักรอย่างไร?
2. ในบริบทของชีวิตในยุคปัจจุบัน เราจะสามารถปลูกฝังความรักและความเคารพต่อพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไร เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางจิตวิญญาณและความเป็นหนึ่งในความเชื่อ?
สดุดีบทที่ 119 เป็นบทเพลงที่ยาวที่สุดในพระคัมภีร์ โดยมี 176 ข้อ ซึ่งแต่ละวรรคในแต่ละช่วง (มีทั้งหมด 22 ช่วง ช่วงละ 8 ข้อ) จะเริ่มต้นด้วยตัวอักษรฮีบรูตัวเดียวกันตามลำดับอักษร บทเพลงนี้เป็นบทเพลงแห่งความรักและความชื่นชมยินดีในพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง และเป็นเหมือนคู่มือในการดำเนินชีวิตที่ยึดหลักพระคำของพระองค์
ข้อคิดสำคัญจากสดุดี 119
1. ความสุขของผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวจนะ: บทเพลงเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงความสุข (blessedness) ของผู้ที่ "ไม่มีที่ติในทางของตน คือผู้ดำเนินตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์" (สดุดี 119:1) นี่คือข้อคิดหลักที่ว่า ความสุขที่แท้จริงและชีวิตที่สมบูรณ์มาจากการเชื่อฟังและดำเนินชีวิตตามพระคำของพระเจ้า
2. พระวจนะเป็นแสงสว่างและเข็มทิศชีวิต: "พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างส่องทางของข้าพระองค์" (สดุดี 119:105) นี่คือภาพที่ชัดเจนที่สุดที่แสดงว่า พระคำของพระเจ้าให้การนำทางและสติปัญญา ในแต่ละก้าวของชีวิต และช่วยให้เรามองเห็นทางข้างหน้าอย่างชัดเจน
3. ความรักและความปรารถนาในพระวจนะ: ผู้ประพันธ์แสดงความรักและความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อพระคำของพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขากล่าวว่า "ข้าพระองค์รักธรรมบัญญัติของพระองค์! เป็นการรำพึงของข้าพระองค์ตลอดทั้งวัน" (สดุดี 119:97) และ "ข้าพระองค์รักพระบัญญัติของพระองค์ยิ่งกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์" (สดุดี 119:127) นี่สอนให้เรา พัฒนาความรักและความกระหายในพระคำ ไม่ใช่แค่การอ่าน แต่เป็นการใคร่ครวญและยึดถือไว้ในใจ
4. พระวจนะให้สติปัญญาและความเข้าใจ: "พระบัญญัติของพระองค์ทำให้ข้าพระองค์ฉลาดกว่าศัตรูของข้าพระองค์" (สดุดี 119:98) และ "ข้าพระองค์มีความเข้าใจมากกว่าคนแก่ เพราะข้าพระองค์ถือรักษาพระโอวาทของพระองค์" (สดุดี 119:100) พระคำของพระเจ้าไม่ได้ให้แค่ข้อมูล แต่ให้ สติปัญญาที่เหนือกว่าปัญญาของโลก ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีและเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง
5. พระวจนะช่วยให้รอดพ้นจากบาป: "ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์" (สดุดี 119:11) การเก็บพระคำไว้ในใจจะช่วย ปกป้องเราจากการทำบาป และเป็นเกราะป้องกันการล่อลวง
6. ความทุกข์ยากเป็นโอกาสในการเรียนรู้พระคำ: "ความทุกข์ยากลำบากนั้นดีต่อข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้เรียนรู้กฎเกณฑ์ของพระองค์" (สดุดี 119:71) ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า ความยากลำบากสามารถเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ที่จะช่วยให้เราเข้าใจและยึดมั่นในพระคำของพระองค์มากขึ้น
7. พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยกู้: ผู้ประพันธ์ร้องทูลต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ช่วยกู้เขาจากศัตรูและการถูกข่มเหง โดยยึดมั่นในพระสัญญาและพระคำของพระองค์ (เช่น สดุดี 119:153-154) นี่แสดงให้เห็นว่า พระคำของพระเจ้าเป็นแหล่งความหวังและการปลอบโยน ในยามยากลำบาก
หลักการนำมาใช้ดำเนินชีวิต
- ให้พระวจนะเป็นรากฐานของชีวิต: หากคุณปรารถนาชีวิตที่มีความสุขและปราศจากที่ติ จงพยายามดำเนินชีวิตตามพระคำของพระเจ้าในทุกแง่มุม
- ใช้พระวจนะเป็นเครื่องนำทาง: เมื่อคุณต้องตัดสินใจ หรือรู้สึกสับสนในชีวิต จงหันไปหาพระคัมภีร์ พระคำของพระเจ้าจะให้ทิศทางที่ชัดเจนและสว่างไสวแก่คุณ
- พัฒนาความรักในพระวจนะของพระเจ้า: การอ่านพระคัมภีร์ไม่ควรเป็นแค่หน้าที่ แต่ควรเป็นความปรารถนาและความชื่นชมยินดี ใช้เวลาในการใคร่ครวญ และให้พระคำซึมซาบเข้าไปในใจของคุณ
- แสวงหาสติปัญญาจากพระเจ้า: หากต้องการความเข้าใจและสติปัญญาในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว การงาน หรือความสัมพันธ์ จงศึกษาพระคำของพระเจ้า เพราะปัญญาจากพระองค์นั้นลึกซึ้งและแท้จริง
- ท่องจำและเก็บพระวจนะไว้ในใจ: การจดจำข้อพระคัมภีร์และใคร่ครวญจะช่วยให้คุณสามารถต่อสู้กับการล่อลวงและดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์
- เรียนรู้จากความทุกข์ยาก: เมื่อเผชิญกับความยากลำบาก จงมองว่าเป็นโอกาสที่พระเจ้าจะทรงสอนคุณผ่านพระคำของพระองค์ จงแสวงหาความเข้าใจและบทเรียนจากสถานการณ์เหล่านั้น
- วางใจในพระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้: ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับการข่มเหง ปัญหา หรือศัตรู จงร้องทูลต่อพระเจ้าและยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อที่จะช่วยกู้คุณ
สดุดี 119 ไม่ได้เป็นเพียงบทเพลงสรรเสริญ แต่เป็นบทเพลงแห่งชีวิตที่สอนให้เราเห็นคุณค่า ความสำคัญ และฤทธิ์อำนาจของพระวจนะของพระเจ้าในการนำทาง เปลี่ยนแปลง และหล่อหลอมชีวิตของเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในสายพระเนตรของพระองค์