เรื่องย่อ
ใน 2 พงศาวดาร 1, เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อกษัตริย์ซาโลมอนขึ้นครองราชย์และทรงเสริมสร้างอาณาจักร มีการปรากฏตัวของพระเจ้าต่อซาโลมอนในความฝันที่กิเบโอน และพระเจ้าตรัสถามซาโลมอนว่าจะประทานสิ่งใดแก่เขา ซาโลมอนทูลขอพระปัญญาและความรู้เพื่อปกครองประชาชน พระเจ้าทรงพอพระทัยในคำขอนี้และประทานทั้งปัญญา ความรู้ พร้อมกับความมั่งคั่ง เกียรติยศ ในสดุดี 72, เป็นบทสดุดีที่แสดงถึงคำอธิษฐานเพื่อกษัตริย์ อธิษฐานขอให้กษัตริย์ทรงปกครองอย่างยุติธรรม มีความรุ่งเรืองและสันติสุขทั่วแผ่นดิน ขณะเดียวกันก็ยังเน้นถึงพระเมตตาและความเป็นธรรม เพื่อนำมาซึ่งความเจริญและความปลดปล่อยแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
วันนี้เราเรียนรู้เกี่ยวกับการพบกันระหว่างซาโลมอนกับพระเจ้าที่กิเบโอน ซึ่งพระเจ้าทรงสรรเสริญซาโลมอนที่ไม่ขอชีวิตของศัตรู เพราะเป็นลักษณะของความเมตตาและความถูกต้อง ซึ่งอาจเป็นการอ้างอิงถึงดาวิดบิดาของเขาที่เคยขอชีวิตของศัตรู ในตอนจบของบทนี้ เราได้รับคำเตือนว่าถึงแม้ซาโลมอนจะได้รับปัญญาใหม่จากพระเจ้า แต่เขายังสะสมทรัพย์สมบัติและม้าสูงเกินความเหมาะสม ซึ่งเป็นข้อควรระลึกถึงความเอาใจใส่และความสมดุลในความเป็นผู้นำ
ส่วนเรื่องของสดุดีบทที่ 72 ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นของซาโลมอนหรือดาวิด ไม่ว่าจะเป็นผลงานของใคร หนึ่งในแนวคิดคือเอกสารนี้เป็นคำอธิษฐานและคำอวยพรให้แก่กษัตริย์ผู้ชอบธรรม โดยเฉพาะการขอให้พระเจ้าประทานความยุติธรรมและความเมตตา เช่น ใจที่มุ่งมั่นทำความดี มือที่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง รวมทั้งการมองเห็นความทุกข์ของประชาชน ซึ่งพระเจ้าทรงประทานสิ่งเหล่านี้ให้กับกษัตริย์ตามคำอธิษฐาน
ในที่สุด เราก็เข้าใจว่าผู้เขียนสดุดีรู้ดีว่ากษัตริย์ต้องการความสนับสนุนและการอธิษฐานจากประชาชนมากเพียงใด เพราะสิ่งดีๆ ทั้งหลายมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้าเท่านั้น แม้หลายคนจะกลัวที่จะขอสิ่งใดจากพระเจ้าเพราะกลัวรำคาญ พระเจ้าทรงสอนให้เราอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะการขอสิ่งต่างๆ ช่วยให้เราตระหนักถึงความต้องการที่แท้จริงและความพึ่งพิงพระเจ้าอย่างเต็มที่ และพระองค์ทรงต้องการให้เรายังคงสนทนาและขอความช่วยเหลือจากพระองค์เสมอ
ข้อคิด: 2 พงศาวดาร 1; สดุดี 72
แม้ว่าผู้คนจะไม่ได้ขออะไรจากพระเจ้า แต่พระองค์ก็เต็มเปี่ยมที่จะแสดงให้เห็นถึงพระทัยอันเอื้อเฟื้อของพระองค์ ซาโลมอนไม่ได้ขออะไรจากพระองค์เลย แต่พระเจ้าก็ปรากฏตัวและตรัสว่า “เฮ้ ซาโลมอน เจ้าต้องการอะไรไหม” จากนั้นนอกจากนั้น พระเจ้ายังทรงตัดสินใจที่จะเพิ่มพรเป็นสามเท่า ไม่ใช่แค่ให้สิ่งที่ซาโลมอนขอเท่านั้น แต่ยังให้สิ่งที่เขาไม่ได้ขอหรือไม่สมควรได้รับด้วย พระเจ้าโดดเด่นด้วยความเอื้อเฟื้อที่ล้นเหลือแบบนี้ พระองค์ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง และพระองค์ทรงรักที่จะอวยพรลูกๆ ของพระองค์ พระองค์แสวงหาโอกาสที่จะอวยพรพวกเขา พระทัยของพระองค์ช่างใจดีเหลือเกิน! พระองค์อยู่ที่ซึ่งความปีติยินดีอยู่!
คำถาม
1. วิธีใดบ้างที่เราสามารถนำพระคำของพระเจ้าในสดุดี 72 มาเป็นแนวทางในการสนับสนุนการรับใช้เพื่อสร้างคริสตจักรที่เข้มแข็งและเกิดผล?
2. ในบริบทของปัจจุบัน ท่านสามารถสอนและปลูกฝังให้มีความหวังและความเชื่อมั่นในพระเจ้า เช่นใน 2 พงศาวดาร 1 ที่ขอพระปัญญาจากพระเจ้า เพื่อเผชิญกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างไร?
สดุดี 72 เป็นบทเพลงสรรเสริญและอธิษฐานที่มุ่งเน้นไปที่การปกครองของกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์ในอุดมคติที่สะท้อนถึงการปกครองอันชอบธรรมของพระเจ้า บทเพลงนี้ให้ข้อคิดที่ลึกซึ้งหลายประการเกี่ยวกับ ความยุติธรรม สันติสุข และการดูแลผู้อ่อนแอ ดังนี้
1. ความยุติธรรมและความชอบธรรมในการปกครอง
- ความสำคัญของความยุติธรรม: กษัตริย์ในสดุดีบทนี้ถูกอธิษฐานขอให้ปกครองด้วย ความยุติธรรม และ ความชอบธรรม (ข้อ 1-2) นี่คือคุณสมบัติพื้นฐานที่สุดของผู้นำที่ดี เพราะความยุติธรรมเป็นรากฐานของสังคมที่สงบสุข
- การพิพากษาคนยากจน: บทเพลงเน้นย้ำถึงการปกป้องและพิพากษาคดีของ คนยากจน คนขัดสน และ ผู้ที่ถูกกดขี่ (ข้อ 2, 4) ซึ่งสะท้อนถึงหัวใจของพระเจ้าที่ใส่ใจผู้ด้อยโอกาส ผู้นำที่แท้จริงต้องเป็นปากเสียงและผู้พิทักษ์สิทธิ์ของคนที่ไม่มีอำนาจ
2. สันติสุขและความเจริญรุ่งเรือง
- ผลของความชอบธรรม: เมื่อกษัตริย์ปกครองด้วยความชอบธรรม ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ สันติสุข และ ความรุ่งเรือง (ข้อ 3, 7) ไม่ใช่เพียงสันติภาพทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสงบสุขทางจิตใจและความอุดมสมบูรณ์ในทุกด้าน
- ความรุ่งเรืองที่มาจากความยุติธรรม: บทเพลงกล่าวถึงภูเขาและเนินเขาที่จะเกิดความรุ่งเรืองจากการปกครองที่ชอบธรรม ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของการเจริญเติบโตและความอุดมสมบูรณ์ที่แผ่ขยายไปทั่วแผ่นดิน
3. การดูแลผู้อ่อนแอและผู้ขัดสน
- การช่วยกู้และไถ่ถอน: กษัตริย์ผู้ทรงธรรมจะช่วยกู้ชีวิต ของคนขัดสนจากการถูกกดขี่และ ไถ่ถอน พวกเขาจากความรุนแรง (ข้อ 12-14) นี่คือบทบาทสำคัญของผู้นำที่แท้จริง คือการเป็นผู้ปลดปล่อยและผู้ปกป้อง
- ความเห็นอกเห็นใจ: มีการเน้นย้ำถึง ความสงสาร และ ความเห็นอกเห็นใจ ต่อคนยากจนและคนขัดสน (ข้อ 13) ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แค่มีอำนาจ แต่ต้องมีหัวใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาและเห็นอกเห็นใจต่อความทุกข์ยากของผู้อื่น
4. ลักษณะของกษัตริย์ที่เปรียบได้กับพระเมสสิยาห์
- การปกครองตลอดไป: บทเพลงกล่าวถึงการปกครองที่จะยั่งยืน ตราบเท่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ (ข้อ 5) ซึ่งบ่งชี้ถึงอาณาจักรนิรันดร์ที่เหนือกว่ากษัตริย์มนุษย์ทั่วไป ข้อคิดนี้ชี้ไปถึง พระเยซูคริสต์ ในฐานะพระเมสสิยาห์ผู้ทรงปกครองอย่างชอบธรรมนิรันดร์
- การแผ่ขยายอาณาเขต: อาณาจักรของกษัตริย์ผู้นี้จะแผ่ขยายไปทั่วโลก จากทะเลหนึ่งไปอีกทะเลหนึ่ง (ข้อ 8) ซึ่งเป็นภาพของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าที่จะครอบคลุมประชาชาติทั้งหมด
- การนมัสการจากนานาชาติ: กษัตริย์จะได้รับการถวายเครื่องบรรณาการและนมัสการจากกษัตริย์และประชาชาติทั้งปวง (ข้อ 10-11) ซึ่งเป็นภาพของการยอมรับและการถวายเกียรติแด่พระเจ้าและอาณาจักรของพระองค์
5. การสรรเสริญและการถวายเกียรติแด่พระเจ้า
- พระนามของพระเจ้า: บทเพลงจบลงด้วยการสรรเสริญ พระนามอันรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และความหวังว่าแผ่นดินโลกจะเต็มด้วยรัศมีของพระองค์ (ข้อ 18-19) เตือนให้เราตระหนักว่าอำนาจและการปกครองที่แท้จริงมาจากพระเจ้า และการปกครองที่ดีที่สุดคือการสะท้อนถึงพระลักษณะของพระองค์
สดุดี 72 จึงเป็นบทเพลงที่สอนเราว่าผู้นำที่แท้จริงต้องมี คุณธรรม ความยุติธรรม และความเมตตา เป็นหลักในการปกครอง และผลของการปกครองเช่นนี้คือ สันติสุข ความเจริญรุ่งเรือง และการดูแลผู้อ่อนแอ ที่จะนำมาซึ่งพระพรแก่คนทั้งปวง และเหนือสิ่งอื่นใด บทเพลงนี้ยังชี้ให้เห็นถึงอาณาจักรที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้าผ่านทางพระเมสสิยาห์ผู้ทรงปกครองด้วยความรักและความชอบธรรมนิรันดร์