เรื่องย่อ
สดุดี 134 เชิญชวนผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ยืนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าในเวลากลางคืนให้สรรเสริญพระเจ้าและขอให้พระเจ้าอวยพรพวกเขาจากศิโยน สดุดี 146 สรรเสริญพระเจ้าในฐานะผู้สร้าง ผู้ยุติธรรม และผู้จัดเตรียมสำหรับผู้ที่ถูกกดขี่และต้องการ สดุดี 147 สรรเสริญพระเจ้าสำหรับการสร้างเยรูซาเล็ม การรักษาใจที่แตกสลาย และการควบคุมธรรมชาติ สดุดี 148 เชิญชวนสรรพสิ่งที่อยู่ในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกให้สรรเสริญพระเจ้า สดุดี 149 เชิญชวนอิสราเอลให้ชื่นชมยินดีในพระเจ้าและสรรเสริญพระองค์ด้วยการเต้นรำและดนตรี และสดุดี 150 ซึ่งเป็นบทสรุป เชิญชวนให้สรรเสริญพระเจ้าในสถานนมัสการของพระองค์ และด้วยเครื่องดนตรีทุกชนิด สดุดีเหล่านี้เน้นย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ความเมตตา และการทรงสร้างที่ควรค่าแก่การสรรเสริญจากสรรพสิ่ง
ลองจินตนาการถึง สดุดี 134 เป็นเหมือนบทเพลงสุดท้ายก่อนนอน ที่ผู้คนร้องขอให้พระเจ้าผู้สร้างโลกทั้งใบ ปกป้องคุ้มครองพวกเขาในยามค่ำคืน เป็นเหมือนคำอธิษฐานที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ที่ผู้คนใช้บทเพลงนี้ เพื่อเชื่อมโยงจิตใจกับพระผู้สร้าง
สดุดี 146 เปรียบเหมือนเพื่อนสนิทที่คอยเตือนเราว่า อย่าคาดหวังความช่วยเหลือจากคนอื่นมากเกินไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็มีข้อจำกัด แต่จงหันไปพึ่งพาพระเจ้าผู้ทรงสามารถเติมเต็มทุกสิ่งที่ขาดหายในชีวิตของเรา การวางใจในพระองค์ ไม่ใช่แค่การขอพรให้ชีวิตราบรื่น แต่เป็นการค้นพบความสุขที่แท้จริง ที่มาจากภายในใจ แม้ว่าภายนอกจะต้องเผชิญกับปัญหามากมาย
แล้วลองนึกภาพ สดุดี 147 เป็นเหมือนอ้อมกอดอบอุ่น ที่บอกเราว่า พระเจ้าทรงใส่ใจทุกรายละเอียดในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน และสิ่งที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญมากที่สุด คือความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระองค์ การรักและไว้วางใจพระเจ้า คือการเปิดใจต้อนรับความรักและความเมตตาของพระองค์ ให้เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ดีขึ้น และสดุดี 148-150 ก็เป็นการเชิญชวนให้เราเปล่งเสียงสรรเสริญพระเจ้า ให้ดังก้องไปทั่วโลก ด้วยทุกสิ่งที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลง หรือการกระทำ เพราะพระองค์ทรงสมควรได้รับเกียรติยศอย่างสูงสุด
ข้อคิด: สดุดี 134; 146-150
สดุดี 146:7–9 ของวันนี้กล่าวว่าพระเจ้าคือผู้ “กระทำความยุติธรรมให้แก่ผู้ถูกกดขี่ ประทานอาหารแก่ผู้หิวโหย พระเจ้าทรงปลดปล่อยนักโทษ พระเจ้าทรงเปิดตาคนตาบอด พระเจ้าทรงยกผู้ที่หมอบกราบขึ้น พระเจ้าทรงรักผู้ชอบธรรม พระเจ้าทรงดูแลคนต่างด้าว พระองค์ทรงค้ำจุนหญิงม่ายและกำพร้า แต่พระองค์ทรงทำลายทางของคนชั่ว” รายชื่อคนสิบประเภทนี้ครอบคลุมถึงผู้คนมากมายที่พระเยซูมีความสัมพันธ์ด้วย ได้แก่ ผู้ถูกกดขี่ ผู้หิวโหย ผู้ถูกจองจำ คนตาบอด ผู้เศร้าโศก ผู้ชอบธรรม ผู้พลัดถิ่น ผู้เป็นม่าย เด็กกำพร้า และแม้แต่คนชั่ว คุณพบว่าตัวเองอยู่ในรายชื่อนั้นที่ใด พระองค์ทรงแสดงความรักต่อคุณอย่างไรในจุดนั้น? หากคุณต้องการเป็นผู้มีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น การแสดงลักษณะนิสัยของพระเยซูเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำได้ พระองค์คือที่ที่ความชื่นชมยินดีอยู่!
คำถาม
1. สดุดี 134 เชิญชวนให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าสรรเสริญพระองค์ในเวลากลางคืน ในชีวิตปัจจุบันที่มีความวุ่นวายและเร่งรีบ เราจะสร้างช่วงเวลาแห่งการสรรเสริญและนมัสการพระเจ้าได้อย่างไร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เราอาจรู้สึกเหนื่อยล้าหรือท้อแท้?
2. สดุดี 146-150 เรียกร้องให้ทุกสิ่งมีชีวิตสรรเสริญพระเจ้าสำหรับความยิ่งใหญ่และความดีงามของพระองค์ ในโลกที่มักจะเน้นย้ำถึงความผิดพลาดและความทุกข์ยาก เราจะรักษามุมมองที่มองเห็นสิ่งดีงามและเหตุผลในการสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไร? เราจะใช้ความสามารถและพรสวรรค์ของเราในการสรรเสริญพระเจ้าและช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร?
สดุดีบทที่ 134 เป็นบทเพลงสั้น ๆ ที่เต็มไปด้วยข้อคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับการ นมัสการ การอวยพร และความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับใช้กับพระเจ้า แม้จะเป็นบทสั้น ๆ แต่ก็มีใจความสำคัญที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้:
1. การนมัสการตลอดเวลาและในทุกสถานการณ์
- เรียกร้องให้ผู้รับใช้ของพระเจ้ายกย่องพระองค์: "ท่านทั้งหลาย ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ ผู้ยืนปรนนิบัติในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ในยามค่ำคืน จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด" ข้อนี้ไม่ได้จำกัดการนมัสการอยู่แค่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการเรียกให้ผู้ที่รับใช้พระเจ้าสรรเสริญพระองค์ ตลอดเวลา แม้กระทั่งในยามค่ำคืน ซึ่งอาจเป็นเวลาของการเฝ้ายาม หรือการพักผ่อน
- การยกมือขึ้นสรรเสริญ: "จงยกมือของท่านขึ้นสู่สถานนมัสการ และจงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด" การยกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของการยอมจำนน ความเคารพ และการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เป็นการแสดงออกถึงท่าทีแห่งการนมัสการที่มาจากใจจริง
2. แหล่งที่มาของพระพร
- พระเจ้าทรงเป็นแหล่งพระพร: "ขอพระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทรงอวยพรเจ้าจากศิโยนเถิด" ข้อนี้ตอกย้ำว่า พระพรทุกอย่างมาจากพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พระองค์ไม่เพียงแต่สร้างสรรพสิ่ง แต่ยังทรงเป็นผู้ประทานพรให้แก่ผู้ที่นมัสการและรับใช้พระองค์อย่างสัตย์ซื่อ
3. การอวยพรซึ่งกันและกัน
- การอวยพรแบบสองทาง: บทเพลงนี้แสดงให้เห็นถึงการอวยพรสองทาง คือ ผู้รับใช้สรรเสริญพระเจ้า และพระเจ้าทรงอวยพรผู้รับใช้ของพระองค์ นี่คือความสัมพันธ์แห่งพันธสัญญาที่สวยงาม: เมื่อเราถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระองค์ก็ทรงอวยพรเรากลับคืนมา
- การอวยพรผ่านการรับใช้: "ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์" ในที่นี้อาจหมายถึงปุโรหิตหรือเลวีที่ทำหน้าที่ในพระวิหาร แต่ก็สามารถขยายความหมายถึงผู้เชื่อทุกคนที่รับใช้พระเจ้าในชีวิตประจำวัน การที่เราเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ทำให้เราเป็นช่องทางแห่งพระพร ไม่เพียงแต่สำหรับตัวเราเอง แต่สำหรับผู้อื่นด้วย
ข้อคิดประยุกต์สำหรับชีวิตคริสเตียน
- นมัสการด้วยชีวิต: เราควรนมัสการพระเจ้าไม่ใช่แค่ในวันอาทิตย์ หรือเฉพาะเมื่อเราอยู่ในโบสถ์เท่านั้น แต่ควรเป็นการนมัสการที่ดำเนินอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไรอยู่ เราสามารถยกย่องพระนามของพระองค์ได้เสมอ
- ตระหนักถึงแหล่งที่มาของพระพร: ทุกสิ่งที่เรามีและทุกความสำเร็จที่เราได้รับ ล้วนมาจากพระเจ้าผู้ทรงประทานให้ การตระหนักรู้เช่นนี้จะทำให้เรามีใจที่ถ่อมและขอบพระคุณ
- เป็นผู้ให้พร: ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้าและผู้รับใช้ของพระองค์ เราสามารถเป็นช่องทางแห่งพระพรแก่ผู้อื่นได้ ผ่านการกระทำ คำพูด และการดำเนินชีวิตของเรา
สดุดี 134 เตือนใจเราว่าการนมัสการไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่เป็นวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงเราเข้ากับพระผู้สร้างผู้ทรงประทานพร และเป็นความสัมพันธ์ที่เราทั้งให้และรับในเวลาเดียวกัน