Thai Mission Reading Plan 2025

อ่านพระคัมภีร์ให้สนุกและเกิดผลในหนึ่งปี มีข้อคิดที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตได้ทุกตอน


Started on: Jan. 1, 2025

ร่วมกลุ่มอ่านพระคัมภีร์ในแผนนี้

อ่านพระคัมภีร์ | READ SCRIPTURES

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สุภาษิต 25

THSV11 NIV AMP TNCV NASB NKJV NLT ESV
สุภาษิต 26

เรื่องย่อ

สุภาษิตบทที่ 25 และ 26 รวบรวมคำกล่าวที่ชาญฉลาดและคำสอนที่หลากหลายเกี่ยวกับแง่มุมต่างๆ ของชีวิต สุภาษิตเหล่านี้ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น ความสำคัญของปัญญา ความขยันหมั่นเพียร และการควบคุมตนเอง โดยเน้นย้ำถึงคุณธรรมของการพูดความจริง การถ่อมตน และความระมัดระวัง นอกจากนี้ สุภาษิตยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีจัดการกับคนโง่ การหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาท และการตระหนักถึงอันตรายของการเกียจคร้านและการนินทา โดยรวมแล้ว บทเหล่านี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตอย่างชอบธรรม มีสติ และรอบคอบในความสัมพันธ์ส่วนตัวและสาธารณะ

 


วันนี้เราจะพูดถึงคำสอนของซาโลมอนในบทที่ 25 ซึ่งเน้นให้เราเข้าใจความสำคัญของความถ่อมตนในความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซาโลมอนชี้ให้เห็นว่า ภูมิปัญญาที่แท้จริงไม่ยกตัวเองเหนือผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกด้อยค่า การมีทัศนคติที่ถ่อมตนจะช่วยให้เรารับฟังและเข้าใจคนรอบข้างได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีโดยไม่ใช้อารมณ์หรือความหยิ่งผยองมาขวางกั้น

นอกจากนี้ ซาโลมอนยังเน้นเรื่องการควบคุมตนเองและความอดทนในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การพูดคุยแยแสปัญหากับผู้อื่นอย่างฉลาด โดยไม่เผยแพร่ความผิดพลาดหรือความไม่พอใจให้คนอื่นใช้เป็นความอับอาย ความถ่อมตัวและความอดทนมีพลังมากกว่าความหยิ่งยโสหรือความเข้มแข็ง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์และสร้างอิทธิพลในทางที่ดีได้

สุดท้าย ซาโลมอนเตือนให้ระวังคำพูดของเรา เพราะคำพูดที่ไม่ดี เช่น การนินทา ใส่ร้าย หรือการหว่านล้อมด้วยคำหวาน ก็สามารถทำลายความสัมพันธ์และสร้างความเสื่อมเสียได้ และคำพูดเหล่านี้อาจเป็นอันตรายมากกว่าที่เราคิด เราควรใช้คำพูดอย่างรอบคอบและมีความรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดผลดีและเสริมสร้างความเข้าใจในสังคมและความสัมพันธ์ของเราเอง

 

ข้อคิด: สุภาษิต 25-26


สุภาษิต 25:2 สอนว่า “ความรุ่งโรจน์ของพระเจ้าคือการปกปิดสิ่งต่างๆ แต่ความรุ่งโรจน์ของกษัตริย์คือการเสาะหาสิ่งต่างๆ” พระเจ้ามักได้รับเกียรติในความลึกลับและสิ่งที่เราไม่เข้าใจ บางครั้งเราแสวงหาคำตอบเพราะความหยิ่งผยองหรือใจร้อน ไม่อยากวางใจในพระเจ้า แต่ผู้นำสูงสุดของมนุษย์คือพระเจ้าเองที่รู้ดีที่สุด พระองค์ไม่เปิดเผยทุกสิ่งให้เราทันที เขาเลือกที่จะปกปิดบางสิ่งเพื่อให้สิ่งนั้นเกิดประโยชน์สูงสุดแก่เราในเวลาที่เหมาะสม การที่พระองค์ไม่บอกอะไรเราเป็นการถ่อมตัวและเป็นเกียรติแด่พระองค์ เพราะพระองค์เข้าใจดีว่าความสุขและความสมบูรณ์จะเกิดขึ้นเมื่อเราวางใจในแผนการและเวลาของพระองค์, ซึ่งเต็มไปด้วยความสุขและความปีติยินดีในที่สุด

 

คำถาม

1.   สุภาษิต 25:15 กล่าวว่า "จงอดทน แล้วจะชนะใจเจ้านายได้ ลิ้นที่อ่อนโยนสามารถบดขยี้กระดูกได้" คุณมองว่าสิ่งนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขความขัดแย้งในชีวิตประจำวัน หรือในสถานการณ์ทางสังคมอย่างไรบ้าง? คุณเคยมีประสบการณ์หรือเห็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความใจเย็นและการอดทนในสถานการณ์จริงหรือไม่?

2.   สุภาษิต 26:17 เตือนให้ระวังการมีอารมณ์ร้อนและการเข้าสังคมในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม คุณคิดว่าสถานการณ์ในชีวิตปัจจุบัน เช่น การทำงาน ความสัมพันธ์ หรือการเมือง สามารถได้รับผลกระทบอย่างไรเมื่อเราขาดความระมัดระวังด้านอารมณ์หรือการกระทำโดยไม่คิดให้รอบคอบ? แล้วคุณมีแนวทางอย่างไรในการควบคุมอารมณ์และการตัดสินใจในช่วงเวลาที่เกิดความเครียดหรือความไม่แน่นอน?

 

 

สุภาษิตบทที่ 25-26 สอนให้เราเป็นคนที่มี ปัญญา ซึ่งหมายถึงการรู้จักใช้ ดุลยพินิจ ในการตัดสินใจและกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูดที่เหมาะสม การรู้จักถ่อมใจ การอดทนอดกลั้น การรับมือกับคนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาหรือพฤติกรรม และการหลีกเลี่ยงความเกียจคร้านที่บั่นทอนชีวิต การนำข้อคิดเหล่านี้มาปรับใช้จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างสุขุมรอบคอบและสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ที่ดีงามกับคนรอบข้าง

สุภาษิตบทที่ 25: เน้นย้ำถึงความสำคัญของ ความถ่อมใจ และ การควบคุมตนเอง ในปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

  • ความถ่อมใจและการรอคอย: ข้อ 6-7 เตือนว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนชิงดีชิงเด่นในที่ประชุมของกษัตริย์ เพราะการถูกเชิญให้ขึ้นไปอยู่สูงกว่า ดีกว่าการถูกทำให้ต่ำลง การรอคอยโอกาสที่เหมาะสมและไม่ทะเยอทะยานเกินไปเป็นสิ่งสำคัญ
  • การควบคุมคำพูด: ข้อ 11-12 เปรียบคำพูดที่เหมาะสมว่าเป็นเหมือน "ผลแอปเปิลทองคำในภาชนะเงิน" แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของถ้อยคำที่ถูกกล่าวอย่างถูกกาลเทศะและถูกต้อง การมีสติในการใช้คำพูดเป็นสิ่งจำเป็น การตักเตือนจากผู้มีปัญญาก็เปรียบเสมือนเครื่องประดับที่มีค่าสำหรับผู้ที่รับฟัง
  • การจัดการกับคนพาลและศัตรู: ข้อ 21-22 แนะนำให้แสดงความเมตตาต่อศัตรูของเรา โดยการให้อาหารและน้ำดื่มแก่พวกเขา เพราะนั่นคือการ "สุมถ่านที่ลุกเป็นไฟไว้บนศีรษะของเขา" ซึ่งหมายถึงการทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจและอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น นี่คือการสอนถึงการเอาชนะความชั่วด้วยความดี
  • ความพอดีในการสื่อสาร: ข้อ 16 กล่าวว่าหากพบน้ำผึ้งก็จงกินแต่พอควร เพราะถ้ากินมากเกินไปก็จะอาเจียนได้ เปรียบเหมือนกับการไปบ้านเพื่อน ควรไปมาหาสู่แต่พอประมาณ ไม่มากเกินไปจนทำให้เพื่อนเอือมระอา แสดงให้เห็นถึงการรู้จักรักษาขอบเขตและความสัมพันธ์ที่ดี

สุภาษิตบทที่ 26: เน้นให้เห็นถึงลักษณะและอันตรายของ ความโง่เขลา และ ความเกียจคร้าน พร้อมทั้งแนะนำวิธีการรับมือกับคนประเภทนี้

  • ความโง่เขลาและการรับมือ: ข้อ 4-5 ให้คำแนะนำที่ดูขัดแย้งกัน: "อย่าตอบคนโง่ตามความโง่ของเขา เกรงว่าเจ้าจะเป็นเหมือนเขาด้วย" และ "จงตอบคนโง่ตามความโง่ของเขา เกรงว่าเขาจะฉลาดในสายตาของตนเอง" นี่หมายถึงการใช้ดุลยพินิจในการรับมือกับคนโง่ บางครั้งการไม่ตอบโต้ก็ดีที่สุด แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องตอบโต้เพื่อไม่ให้เขาได้ใจและคิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอไป
  • อันตรายของคนโง่: ข้อ 1 เปรียบเกียรติยศที่ไม่เหมาะสมกับคนโง่เหมือน "หิมะในฤดูร้อนและฝนในฤดูเก็บเกี่ยว" ซึ่งเป็นสิ่งผิดธรรมชาติและก่อให้เกิดปัญหาได้ การให้เกียรติแก่คนโง่อาจนำมาซึ่งความวุ่นวาย
  • ลักษณะของคนเกียจคร้าน: ข้อ 13-16 พรรณนาถึงความเกียจคร้านในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การอ้างว่ามีสิงโตอยู่ข้างนอก (เพื่อหาข้ออ้างในการไม่ออกจากบ้าน) การพลิกตัวบนที่นอนเหมือนบานพับประตูหมุนไปมา และการที่คนเกียจคร้านขี้เกียจแม้กระทั่งจะยกมือขึ้นมาป้อนอาหารเข้าปากตัวเอง สุภาษิตยังชี้ว่าคนเกียจคร้านมักจะคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนเจ็ดคน ที่ให้คำตอบอย่างมีเหตุผล นี่แสดงถึงการหลงตัวเองของคนเกียจคร้าน
  • การกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์: ข้อ 17 เตือนว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งที่ไม่ใช่เรื่องของเราก็เหมือนการ "จับหูสุนัข" ซึ่งจะนำมาซึ่งอันตรายและปัญหา