เรื่องย่อ
ในมัทธิว บทที่ 20 และ 21 พระเยซูทรงสอนเรื่องแผ่นดินสวรรค์และความสำคัญของการรับใช้ โดยทรงเล่าอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่นที่ได้รับค่าจ้างเท่ากันไม่ว่าจะทำงานนานแค่ไหน เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระคุณของพระเจ้านั้นไม่ขึ้นอยู่กับความพยายามของมนุษย์ พระองค์ทรงทำนายถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นครั้งที่สาม ขณะเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเลม พระเยซูทรงเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเลมอย่างสง่าผ่าเผย โดยประทับบนลา และประชาชนโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ว่าเป็น "บุตรของดาวิด" พระองค์ทรงชำระพระวิหาร ขับไล่พ่อค้าและคนแลกเงินออกไป และทรงรักษาคนตาบอดและคนง่อยในพระวิหาร พระองค์ทรงตอบคำถามของพวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่ของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระองค์ด้วยอุปมาเรื่องบุตรสองคน และอุปมาเรื่องชาวสวนที่ชั่วร้าย ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความไม่เชื่อของพวกเขา และพระองค์ทรงเตือนพวกเขาว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะถูกนำไปจากพวกเขาและมอบให้กับคนอื่นที่บังเกิดผล
พระเยซูทรงใช้เรื่องอุปมาเพื่อถ่ายทอดสัจธรรมอันลึกซึ้งเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า เรื่องอุปมาเกี่ยวกับคนงานในสวนองุ่นเน้นพระคุณอันมากมายของพระเจ้า โดยที่ทุกคนได้รับค่าจ้างเท่ากันโดยไม่คำนึงถึงชั่วโมงการทำงาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระคุณนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับโดยไม่สมควรได้รับ ความรู้สึกมีสิทธิในหมู่ผู้เชื่อนั้นไม่สมควรได้รับ เพราะทุกสิ่งที่เรามีนั้นเป็นการให้โดยพระเจ้าอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นเป็นหลักฐานของการสูญเสียการมองเห็นความต้องการทางจิตวิญญาณของเราและความล้นเหลือของความโปรดปรานของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าจะรวมถึงผู้ที่อาจมาหาพระองค์ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำอะไรมากมายก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังได้รับการช่วยกู้
ขณะที่พระเยซูทรงมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงสอนผ่านการกระทำ เช่นเดียวกับเรื่องอุปมา การสาปแช่งต้นมะเดื่อที่ไม่เกิดผลเป็นสัญลักษณ์ของการพิพากษาของอิสราเอลที่ไม่เกิดผลฝ่ายวิญญาณ เปรียบเสมือนต้นมะเดื่อที่เคยถูกผู้เผยพระวจนะใช้เพื่อเป็นตัวแทนของอิสราเอล ต้นมะเดื่อเหี่ยวแสดงให้เห็นถึงความผิดหวังของพระเยซูต่อการขาดผลผลิตของอิสราเอล แม้ว่าพระองค์จะทรงทราบถึงความทุกข์ทรมานที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่การมองเห็นความล้มเหลวของอิสราเอลในการเกิดผลก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจสำหรับพระองค์
ในพระวิหาร พระเยซูทรงเผชิญหน้ากับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ที่ท้าทายสิทธิอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงตอบด้วยการถามพวกเขาเกี่ยวกับพันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมา โดยทรงแสดงให้เห็นว่าสิทธิอำนาจของพระองค์และยอห์นมาจากสวรรค์ พวกผู้นำไม่สามารถรับความจริงนี้ได้ แต่ก็ไม่สามารถโต้แย้งได้เช่นกัน เรื่องอุปมาสองเรื่องแสดงถึงการพิพากษาที่กำลังจะมาถึงแก่ผู้ที่ปฏิเสธพระเยซูในฐานะพระเมสสิยาห์ เรื่องอุปมาเรื่องบุตรชายสองคนเน้นความสำคัญของการเชื่อฟังอย่างแท้จริงมากกว่าการยอมรับด้วยวาจาเพียงอย่างเดียว เรื่องอุปมาเรื่องผู้เช่าที่ชั่วร้ายทำนายถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์และผลของการปฏิเสธพระองค์ ผลฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และแสดงออกด้วยความรัก ความยินดี และคุณงามความดีอื่นๆ
ข้อคิด: มัทธิว 20-21
พระเยซูในฐานะที่เป็นพระเจ้าแห่งชีวิต มีอำนาจเหนือนอกจากชีวิตแล้วยังเหนื่อความตายด้วย แต่พระองค์ไม่ได้ใช้อำนาจนั้นเพื่อแก้แค้นศัตรูของพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะทรงสามารถทำลายพวกเขาได้โดยง่าย พระองค์ทรงเลือกความสุภาพอ่อนโยนและการยอมจำนนที่ถ่อมตนต่อพระประสงค์ของพระบิดา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ประสานเรื่องราวแห่งการไถ่ให้สมบูรณ์ และนำผู้เชื่อทั้งหมดของพระเจ้าไปสู่อาณาจักรของพระองค์ตลอดไป พระผู้ช่วยให้รอดที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราทรงสมควรได้รับการสรรเสริญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
คำถาม
1. ในอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น พระเยซูทรงสอนว่าพระคุณของพระเจ้านั้นไม่ขึ้นอยู่กับความพยายามของมนุษย์ เราจะรักษาสมดุลระหว่างการทำงานหนักเพื่อพระเจ้ากับการยอมรับว่าความรอดเป็นของขวัญฟรีได้อย่างไร? (คำถามนี้กระตุ้นให้พิจารณาถึงแรงจูงใจในการรับใช้พระเจ้า และการตระหนักว่าทุกสิ่งที่เรามีมาจากการเจิมของพระองค์)
2. พระเยซูทรงชำระพระวิหาร ขับไล่พ่อค้าและคนแลกเงินออกไป ในชีวิตของเรามี "พระวิหาร" ที่เราต้องชำระให้บริสุทธิ์หรือไม่? อะไรคือสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในชีวิตของเรา และเราจะจัดการกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร? (คำถามนี้กระตุ้นให้พิจารณาถึงการตรวจสอบตนเอง และการกำจัดสิ่งที่ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า)
มัทธิว บทที่ 20 มีเรื่องราวหลักๆ 3 ส่วน ซึ่งให้ข้อคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการปกครองของพระเจ้าและความเป็นสาวก:
1. อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น (มัทธิว 20:1-16)
- พระคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงาน: เจ้าของสวนองุ่น (ซึ่งเปรียบเสมือนพระเจ้า) จ่ายเงินค่าจ้างเท่ากัน (หนึ่งเดนาริอัน) ให้กับทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่หรือเพิ่งมาตอนใกล้ค่ำ
- คำตัดสินของพระเจ้าเป็นสิทธิอำนาจสูงสุด: พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ที่จะแสดงความเมตตาและเอื้อเฟื้อต่อผู้ใดก็ได้ตามที่พระองค์พอพระทัย ("เราจะใช้เงินทองของเราตามใจตัวเองไม่ได้หรือ? ทำไมท่านอิจฉาเมื่อเห็นเราใจดี?")
- การกลับลำดับ: คำกล่าวสรุปที่ว่า "คนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรก และคนที่เป็นคนแรกจะกลับเป็นคนสุดท้าย" เป็นการเตือนผู้ที่คิดว่าตนเองดีกว่าหรือมีสิทธิ์มากกว่าคนอื่น (เช่น พวกยิวที่คิดว่าตนเองดีกว่าคนต่างชาติ หรือสาวกที่คิดว่าตนเองทำงานหนักมานานกว่า)
2. พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงความทุกข์ทรมานและการฟื้นคืนพระชนม์เป็นครั้งที่สาม (มัทธิว 20:17-19)
- การเตรียมพร้อมเพื่อการไถ่บาป: เป็นการเน้นย้ำถึงความตั้งใจของพระเยซูที่จะเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อเผชิญกับความทุกข์ทรมานและการสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาป ซึ่งเป็นภารกิจหลักของพระองค์
3. คำขอของมารดาบุตรชายเศเบดี และคำสอนเรื่องความเป็นใหญ่ (มัทธิว 20:20-28)
- ความยิ่งใหญ่ตามมาตรฐานโลก vs. อาณาจักรพระเจ้า: สาวกยังคงมองหาเกียรติยศและตำแหน่งที่โดดเด่นในโลกนี้ ("ให้บุตรชายของข้าพระองค์ทั้งสองได้นั่งข้างขวาและข้างซ้ายของพระองค์ในราชอาณาจักรของพระองค์")
- พระเยซูคือแบบอย่าง: พระเยซูทรงสอนว่า ผู้ที่ต้องการเป็นใหญ่ในหมู่พวกท่านจะต้องเป็นผู้รับใช้ และผู้ที่ต้องการจะเป็นเอกเป็นต้นจะต้องเป็นทาสของทุกคน
- เป้าหมายของการมาของพระคริสต์: พระเยซูทรงสรุปด้วยข้อความที่ทรงพลังที่สุดว่า "บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อให้คนอื่นปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก" (มัทธิว 20:28)
ข้อคิดสำคัญ
พระคุณของพระเจ้ามีให้ทุกคน ไม่ว่าเราจะมาหาพระองค์เร็วหรือช้า หรือเราจะทำความดีมามากน้อยแค่ไหน ความรอดเป็นของประทาน (ของฟรี) จากพระเจ้า ความเป็นใหญ่ที่แท้จริงคือการรับใช้ ความสำคัญในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งหรืออำนาจ แต่มาจากการถ่อมใจและปรนนิบัติผู้อื่นเหมือนที่พระเยซูคริสต์ทรงทำ