เรื่องย่อ
ในมัทธิว บทที่ 22 และ มาระโก บทที่ 12 พระเยซูทรงเผชิญหน้ากับคำถามท้าทายจากพวกฟาริสี พวกเฮโรด และพวกสะดูสี พวกเขาพยายามจับผิดพระองค์ด้วยคำถามเกี่ยวกับเรื่องภาษี การฟื้นคืนชีพ และบทบัญญัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พระเยซูทรงตอบคำถามเหล่านี้ด้วยสติปัญญาและความเฉลียวฉลาด โดยทรงแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในพระคัมภีร์และความสามารถในการโต้ตอบกับความเชื่อที่แตกต่างกัน พระองค์ทรงสอนว่าควรให้สิ่งที่ของซีซาร์แก่ซีซาร์ และสิ่งที่ของพระเจ้าแก่พระเจ้า พระองค์ทรงยืนยันว่าบทบัญญัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการรักพระเจ้าด้วยสุดใจ สุดจิต และสุดความคิด และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง พระองค์ยังทรงเตือนถึงพวกธรรมาจารย์ที่ชอบโอ้อวดและแสวงหาเกียรติยศจากมนุษย์ ในมาระโก บทที่ 12 พระเยซูทรงสังเกตหญิงม่ายยากจนที่ใส่เหรียญทองแดงสองอันลงในตู้บริจาค และทรงบอกว่าเธอได้ใส่มากกว่าทุกคน เพราะเธอได้ให้ทุกสิ่งที่เธอมี
อุปมาเรื่องงานเลี้ยงสมรสและเรื่องผู้เช่าสวนมีองค์ประกอบที่เหมือนกันหลายประการ ได้แก่ เจ้านาย บุตรชาย การส่งผู้รับใช้ การปฏิเสธ การฆ่าผู้รับใช้ ความยุติธรรมสำหรับผู้ปฏิเสธ และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ในอุปมาเรื่องงานเลี้ยงสมรส การเชิญทั้งคนดีและคนเลวทำให้พวกฟาริสีขุ่นเคือง การมีเสื้อคลุมสำหรับงานแต่งงานเป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าร่วมงานเลี้ยง ซึ่งอาจเป็นสัญลักษณ์ของเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานแก่ผู้ติดตามของพระองค์
พวกฟาริสีและผู้นำศาสนาพยายามล่อให้พระเยซูติดกับด้วยคำถามเกี่ยวกับภาษี โดยหวังว่าจะทำให้พระองค์ต้องเลือกระหว่างการเชื่อฟังโรมหรือการสนับสนุนการกบฏ พระเยซูทรงตอบว่าการจ่ายภาษีเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยทรงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเคารพอำนาจที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ แม้ว่าอำนาจเหล่านั้นจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม พวกสะดูสีพยายามทำให้พระเยซูสับสนด้วยคำถามเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพและการแต่งงานแบบเลวี แต่พระเยซูทรงตอบว่าในแผ่นดินสวรรค์ ผู้คนจะเหมือนทูตสวรรค์ที่ไม่แต่งงาน และพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าอับราฮัม อิสอัค และยาโคบยังมีชีวิตอยู่
ในการสนทนากับธรรมาจารย์ พระเยซูทรงสรุปพระบัญญัติทั้งหมด 613 ข้อในพันธสัญญาเดิมเป็นสองข้อ ได้แก่ ความรักต่อพระเจ้าและการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมาจารย์รู้สึกประทับใจ และพระเยซูตรัสว่าเขา "ไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้าแล้ว" พระเยซูทรงถามว่าพระเมสสิยาห์จะเป็นเชื้อสายของดาวิดได้อย่างไร แต่ในขณะเดียวกันก็มีอยู่ก่อนดาวิด โดยเน้นย้ำถึงพระลักษณะอันเป็นนิรันดร์ของพระองค์ พระเยซูทรงเตือนผู้คนให้ระวังการโอ้อวดและการกระทำที่มุ่งให้คนเห็น โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความจริงใจและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ข้อคิด: มัทธิว 22; มาระโก 12
พระเยซูทรงดึงดูดคนจนและคนบาป ซึ่งเป็นผู้ที่โลกมักมองข้าม โดยทรงเน้นย้ำถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อผู้ที่ไม่มีอะไรจะเสนอให้ ในความสัมพันธ์นี้ พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่มีทุกสิ่งให้แล้ว เพราะทุกสิ่งที่เรามอบให้พระองค์นั้นคือสิ่งที่พระองค์ประทานให้เราแต่เดิม วงจรแห่งการให้และการรับนี้เริ่มต้นและจบลงที่พระองค์ และการมีส่วนร่วมในวงจรนี้เติมเต็มหัวใจของเราด้วยความชื่นชมยินดี เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของพระเจ้าในการเชิญชวนเราให้มีส่วนร่วมในความสมบูรณ์ของพระองค์ ซึ่งเป็นที่ซึ่งความชื่นชมยินดีที่แท้จริงพบได้
คำถาม
1. พระเยซูทรงสอนว่าเราควร "ให้สิ่งที่ของซีซาร์แก่ซีซาร์ และสิ่งที่ของพระเจ้าแก่พระเจ้า" เราจะรักษาสมดุลระหว่างการเป็นพลเมืองที่ดีและการดำเนินชีวิตตามความเชื่อของเราได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกฎหมายของบ้านเมืองขัดแย้งกับหลักการในพระคัมภีร์? (คำถามนี้กระตุ้นให้พิจารณาถึงการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างมีความรับผิดชอบ และการยืนหยัดเพื่อความจริง)
2. พระเยซูทรงยกย่องหญิงม่ายยากจนที่ใส่เหรียญทองแดงสองอันลงในตู้บริจาค เราจะเรียนรู้ที่จะให้ด้วยใจกว้างและเสียสละได้อย่างไร แม้ว่าเราจะมีทรัพย์สมบัติน้อย? (คำถามนี้กระตุ้นให้พิจารณาถึงการให้ที่ไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนเงิน แต่ขึ้นอยู่กับเจตนาและความรัก)
มาระโก บทที่ 12 มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่คำสอนและการเผชิญหน้าของพระเยซูกับผู้นำศาสนาในกรุงเยรูซาเล็ม ข้อคิดหลักๆ ได้แก่:
1. อุปมาเรื่องคนเช่าสวนองุ่น (มก. 12:1-12)
- การปฏิเสธพระเจ้าและผู้ส่งสาร: อุปมานี้ชี้ให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลและผู้นำศาสนา ที่ปฏิเสธและทำร้ายผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าทรงส่งมา และในที่สุดก็ตั้งใจจะฆ่า พระบุตรสุดที่รัก (พระเยซู) เพื่อยึดอำนาจของตนเอง
- พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของ: พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง และทรงคาดหวังผลตอบแทน (ความเชื่อฟังและการถวายเกียรติ) จากสิ่งที่เราได้รับมอบหมาย
- ศิลาหัวมุม: พระเยซูคือ "หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม" (ข้อ 10-11) ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่ถูกปฏิเสธโดยผู้นำศาสนา จะกลายเป็นส่วนสำคัญที่สุดของแผนการของพระเจ้า
2. การเสียส่วยแก่ซีซาร์ (มก. 12:13-17)
- การแยกแยะหน้าที่: เมื่อถูกถามว่าควรเสียส่วยให้ซีซาร์หรือไม่ พระเยซูตอบว่า "ของของซีซาร์ จงถวายแด่ซีซาร์ และของของพระเจ้า จงถวายแด่พระเจ้า"
- ความรับผิดชอบต่อรัฐและต่อพระเจ้า: เป็นการสอนให้เห็นว่า คริสเตียนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐบาลและสังคมที่ตนอาศัยอยู่ (เช่น การเคารพกฎหมาย การเสียภาษี) แต่ในขณะเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นของพระเจ้า ดังนั้นหน้าที่สูงสุดของเราคือการถวายทุกสิ่งแด่พระเจ้า
3. การโต้เถียงเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย (มก. 12:18-27)
- ความจริงเรื่องชีวิตนิรันดร์: พระเยซูทรงแก้ไขความเข้าใจผิดของพวกสะดูสี (ผู้ไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ) โดยยืนยันว่า มีการเป็นขึ้นมาจากความตายจริง และในโลกหน้าชีวิตจะแตกต่างจากชีวิตปัจจุบัน
- พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็น: พระองค์ยืนยันว่าพระเจ้าคือพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่กับพระองค์ในนิรันดร์
4. บัญญัติที่สำคัญที่สุด (มก. 12:28-34)
- พระบัญญัติเอก: เมื่อมีคนถามถึงพระบัญญัติข้อที่สำคัญที่สุด พระเยซูตรัสว่า:
1. "จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจ ด้วยสุดจิต ด้วยสุดความคิด และด้วยสุดกำลังของท่าน" (มก. 12:30)
2. "จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" (มก. 12:31)
- หัวใจของธรรมบัญญัติ: พระเยซูสรุปว่า ไม่มีพระบัญญัติข้อใดที่สำคัญยิ่งไปกว่าสองข้อนี้ เพราะการรักพระเจ้าอย่างสุดใจจะนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง และการรักเพื่อนบ้านคือการสะท้อนความรักต่อพระเจ้าที่เรามี
5. การถวายของหญิงม่าย (มก. 12:41-44)
- การประเมินค่าที่แท้จริง: พระเยซูทรงชื่นชมหญิงม่ายที่ถวายเงินเล็กน้อย (สองเหรียญ) เพราะว่า:
- การถวายนั้นมาจากความขาดแคลน: เธอได้สละ "ทั้งสิ่งที่เธอมีสำหรับใช้จ่ายเลี้ยงชีพ" (ข้อ 44)
- พระเจ้าทรงมองที่ใจ: การประเมินค่าของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณของสิ่งที่ถวาย แต่ขึ้นอยู่กับความเสียสละ และ แรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการถวายนั้น
มาระโก บทที่ 12 สอนเราให้เห็นถึง ความสำคัญของการรักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด และให้เราใช้ชีวิตอย่างรับผิดชอบทั้งต่อพระเจ้าและต่อโลกนี้ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า การถวายและการดำเนินชีวิตที่มาจากความรักแท้จริงและด้วยการเสียสละ นั้นมีคุณค่าอย่างยิ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า