เรื่องย่อ
เมื่ออัครทูตเปาโลเปิดเผยว่าแม้ชนชาติอิสราเอลบางส่วนจะปฏิเสธพระคริสต์ แต่การปฏิเสธนั้นกลับเป็นหนทางให้ข่าวประเสริฐไปถึงคนต่างชาติ ก่อนที่อิสราเอลทั้งหมดจะได้รับการช่วยให้รอดในที่สุด ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงกระตุ้นให้ผู้เชื่ออย่าโอ้อวด แต่ถ่อมใจลงต่อแผนการอันน่าพิศวงของพระเจ้า จากนั้น ท่านได้เปลี่ยนจากการอธิบายหลักข้อเชื่อมาสู่การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง โดยเรียกร้องให้ผู้เชื่อถวายร่างกายเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ และใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณเพื่อรับใช้กันและกันด้วยความรักอันบริสุทธิ์ สุดท้าย ท่านได้กำชับให้ทุกคนอยู่ใต้บังคับบัญชาของทางการ เพราะอำนาจทุกอย่างมาจากพระเจ้า และให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการเติมเต็มพระบัญญัติทั้งหมด เตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ที่ใกล้เข้ามา เพื่อสะท้อนพระสิริของพระเจ้าในทุกมิติของชีวิต
เปาโลชี้แจงว่าพระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งชนชาติอิสราเอล แต่ทรงได้เลือกสรรผู้ที่เหลืออยู่ด้วยพระคุณ การปฏิเสธของพวกเขาได้เปิดโอกาสให้ข่าวประเสริฐแพร่ไปถึงคนต่างชาติ และยังคงเป็นหนทางที่จะนำอิสราเอลกลับมา เปาโลใช้อุปมาเถาองุ่น เปรียบอิสราเอลเป็นกิ่งเดิมที่ถูกตัดออกเมื่อปฏิเสธพระคริสต์ ส่วนคนต่างชาติเป็นกิ่งป่าที่ถูกต่อเข้าไปใหม่ด้วยพระเมตตาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นชาวสวน สิ่งนี้เน้นย้ำว่าความรอดมาจากพระคุณเท่านั้น และพระเจ้าทรงมองเห็นความเชื่อที่แท้จริงในใจ ซึ่งเผยให้เห็นผ่านความเพียรในความเชื่อ
แผนการของพระเจ้าคือการที่ชนชาติยิวจำนวนมากจะต่อต้านพระองค์จนกว่าคนต่างชาติจะได้ยินข่าวประเสริฐครบถ้วน เมื่อถึงเวลานั้น ความแข็งกระด้างของยิวจะสิ้นสุดลงและพระเมตตาจะมาถึงพวกเขา ซึ่งแนวคิดเรื่อง "อิสราเอลทั้งหมด" ที่จะรอด (โรม 11:26) มีหลายความหมาย ในฐานะผู้เชื่อ เราจึงควรอุทิศตนและชีวิตแด่พระองค์ แสวงหาพระสิริของพระเจ้า และพึ่งพาซึ่งกันและกันในฐานะครอบครัวที่หลากหลายของพระองค์
พระเจ้าทรงมีอำนาจสูงสุดเหนือผู้ปกครองทั้งหมด แม้แต่ผู้ที่ดูเหมือนจะขัดขวาง พระองค์ก็ยังทรงใช้พวกเขาเพื่อแผนการของพระองค์ ในฐานะผู้เชื่อ เราควรยอมอยู่ใต้อำนาจของผู้ปกครอง แม้จะไม่ชอบหรือนับถือพวกเขา เพราะพระเจ้าทรงบัญชาให้เราเคารพตำแหน่งนั้น ในคริสตจักรที่หลากหลาย เปาโลจึงย้ำเตือนถึงบัญญัติสูงสุดคือ "จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" และเตือนให้ละทิ้งการกระทำแห่งความมืด เพื่อดำเนินชีวิตในความสว่าง
ข้อคิด: โรม 11-13
“โอ ความลึกแห่งพระปัญญาและความรู้ของพระเจ้าช่างเหลือจะหยั่งถึง พระองค์ทรงตัดสินอย่างใด ใครจะหยั่งรู้ได้ และพระองค์ทรงดำเนินพระมรรคาอย่างใด ใครจะเข้าใจได้” (11:33) พระเจ้าที่สามารถบรรจุไว้ในสมองเล็กๆ ของเราได้อย่างสมบูรณ์นั้นไม่ใช่พระเจ้าเลย แต่พระเจ้าของเรานั้นเหลือจะหยั่งถึง แต่ด้วยพระทัยกว้างขวางของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้พระองค์เองเป็นที่รู้จัก เราสามารถรู้จักพระองค์ได้ดียิ่งขึ้นเสมอ แต่ก็ไม่สามารถหยั่งความลึกของพระองค์ได้อย่างแท้จริง ช่างเป็นความลึกลับที่รุ่งโรจน์อะไรเช่นนี้ พระองค์ทรงเป็นที่ซึ่งความชื่นชมยินดีอยู่!
คำถาม
1. หลังจากเปาโลเปิดเผยแผนการอันล้ำลึกของพระเจ้าในบทที่ 11 ว่าทรงยอมให้มนุษย์ทุกคนถูกขังอยู่ในความไม่เชื่อ "เพื่อพระองค์จะทรงเมตตาทุกคน" และท่านเริ่มต้นบทที่ 12 ด้วยคำว่า "เหตุฉะนั้น... จงถวายตัวของท่านเป็นเครื่องบูชา" โดยอ้างถึง "พระเมตตา" นั้น ลำดับความคิดนี้ควรเปลี่ยน "แรงจูงใจ" ในการทำดีหรือการรับใช้ของเรา จากการทำเพื่อแลกรางวัล ไปสู่สิ่งใด? (เพื่อให้เราพิจารณาว่า วัตถุประสงค์ของการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และการรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่ความพยายามสร้างคุณงามความดีเพื่อดึงดูดความสนใจของพระเจ้า แต่คือการ "ตอบสนองด้วยความกตัญญู" ต่อพระคุณและพระเมตตาที่พระองค์ประทานให้เราก่อนแล้วอย่างเปล่าๆ)
2. ในบทที่ 13 เปาโลสรุปเรื่องการปฏิบัติตัวในสังคมด้วยประโยคที่ว่า "อย่าเป็นหนี้อะไรใครเลย นอกจากความรักซึ่งกันและกัน" และ "ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน" หลักการนี้ท้าทายให้เรามองวัตถุประสงค์ของ "กฎศีลธรรม" (เช่น ห้ามฆ่า ห้ามลักขโมย) ลึกซึ้งกว่าแค่การทำตามกฎระเบียบอย่างไร? (เพื่อกระตุ้นให้ตระหนักว่า วัตถุประสงค์สูงสุดของบทบัญญัติ ไม่ใช่การรักษาความถูกต้องตามตัวอักษรเพื่อความสบายใจของตนเอง แต่คือการกระทำเชิงรุกเพื่อ "สวัสดิภาพ" ของผู้อื่น เพราะหัวใจสำคัญของกฎหมายพระเจ้าคือการไม่ทำอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์และการปรารถนาดีต่อกัน)
โรม บทที่ 13 เป็นบทที่มีคำสอนสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผู้เชื่อกับอำนาจรัฐ และหลักการแห่งความรัก นี่คือข้อคิดหลักที่สามารถนำไปใช้ได้จาก โรม 13:
1. ความเชื่อฟังต่อผู้มีอำนาจ (ข้อ 1–7)
ข้อคิดหลักที่เน้นย้ำที่สุดในส่วนนี้คือการที่ผู้เชื่อต้องอยู่ภายใต้อำนาจรัฐที่พระเจ้าทรงจัดตั้งขึ้น
- อำนาจมาจากพระเจ้า: เปาโลสอนว่า อำนาจทุกอย่างที่มีอยู่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยพระเจ้า ดังนั้น การขัดขืนอำนาจรัฐจึงเท่ากับเป็นการขัดขืนพระบัญชาของพระเจ้า
- รัฐบาลเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อความดี: หน้าที่ของรัฐบาลคือการลงโทษผู้ที่ทำความชั่วและสรรเสริญผู้ที่ทำความดี ผู้มีอำนาจเป็น "ผู้รับใช้ของพระเจ้า" เพื่อนำความโกรธแค้นของพระเจ้ามาเหนือผู้ที่ทำความชั่ว
- หน้าที่ของเราคือการเชื่อฟังและสนับสนุน: เราควรเชื่อฟังไม่เพียงเพราะกลัวการลงโทษ แต่เพราะมโนธรรมของเราด้วย ผู้เชื่อมีหน้าที่ที่จะต้องจ่ายภาษี (เพื่อสนับสนุนการทำงานของรัฐ) และให้ความเคารพแก่ผู้ที่สมควรได้รับ
- ข้อคิดที่นำไปใช้: ในฐานะผู้เชื่อ เราต้องให้ความเคารพและเชื่อฟังต่อกฎหมายและผู้มีอำนาจ แม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับทุกเรื่องเสมอไปก็ตาม ตราบใดที่การกระทำนั้นไม่ขัดต่อพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างชัดเจน
2. ความรักเป็นเครื่องเติมเต็มธรรมบัญญัติ (ข้อ 8–10)
หลังจากพูดถึงหน้าที่ต่อรัฐแล้ว เปาโลก็เปลี่ยนไปเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อด้วยกันเอง และหลักการที่สำคัญที่สุดของคริสเตียน
- ความรักเป็นหนี้ที่เราค้างชำระเสมอ: เราไม่ควรเป็นหนี้ใครในเรื่องใดเลยนอกจาก การรักซึ่งกันและกัน เพราะความรักเป็นการเติมเต็มธรรมบัญญัติ (มัทธิว 22:37-40)
- ความรักไม่ทำอันตรายเพื่อนบ้าน: เปาโลอ้างถึงบัญญัติข้อที่เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน (เช่น ห้ามล่วงประเวณี ห้ามฆ่า ห้ามลักทรัพย์ ห้ามโลภ) และสรุปว่า "ความรักไม่ทำอันตรายเพื่อนบ้าน" ดังนั้น ความรักจึงเป็นพื้นฐานของความชอบธรรมทั้งหมด
- ข้อคิดที่นำไปใช้: การปฏิบัติตามกฎหมายที่แท้จริงคือการสำแดงความรักต่อผู้อื่น หากเราดำเนินชีวิตด้วยความรัก เราจะไม่ทำลายชีวิต ทรัพย์สิน หรือชื่อเสียงของเพื่อนบ้านของเรา ความรักต่อเพื่อนมนุษย์คือการแสดงออกถึงความรักต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง
3. การดำเนินชีวิตในความสว่าง (ข้อ 11–14)
ในส่วนสุดท้ายนี้ เปาโลเตือนผู้เชื่อให้ตระหนักถึงเวลาที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ และให้เตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระคริสต์
- ตื่นขึ้น! เวลาแห่งความรอดใกล้เข้ามาแล้ว: ผู้เชื่อต้องตระหนักว่าเวลาที่จะตื่นจากหลับไหลได้มาถึงแล้ว เพราะความรอด (การเสด็จกลับมาของพระคริสต์) ใกล้เข้ามามากกว่าตอนที่เราเริ่มเชื่อ
- ทิ้งการงานแห่งความมืด: เราต้อง "ละทิ้งการงานแห่งความมืด" เช่น การเมามาย การลามกอนาจาร การวิวาท และการอิจฉาริษยา
- สวมใส่พระเยซูคริสต์: เราได้รับคำสั่งให้ "สวมใส่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า" และอย่าคิดถึงเรื่องที่จะสนองตัณหาของเนื้อหนัง
- ข้อคิดที่นำไปใช้: การดำเนินชีวิตอย่างคริสเตียนคือการดำเนินชีวิตในความสว่างของพระคริสต์ เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความคาดหวังและเตรียมพร้อมสำหรับการกลับมาของพระองค์ โดยปฏิเสธการใช้ชีวิตแบบที่ปล่อยให้ตัณหาฝ่ายโลกนำหน้า และให้พระคริสต์เป็นผู้กำหนดการกระทำของเรา
โรม 13 สอนเราให้เป็น พลเมืองที่ดี (เชื่อฟังอำนาจรัฐ) และเป็นคริสเตียนที่ดี (ดำเนินชีวิตในความรักต่อเพื่อนบ้านและเตรียมพร้อมในความสว่างของพระคริสต์)