เรื่องย่อ
โมเสสได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้สร้างแท่นบูชาสำหรับเครื่องหอมและทำการชักนำชาวอิสราเอลให้ถวายเครื่องบูชา เพื่อเป็นการชดใช้บาปและความผิดพลาด อย่างไรก็ตาม ขณะที่โมเสสอยู่บนภูเขาเพื่อรับบัญญัติศิลา ชาวอิสราเอลเกิดความไม่เชื่อและสร้างรูปเคารพเป็นลูกวัวทองคำขึ้น โมเสสโกรธจัดเมื่อกลับมาเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว และทำลายแผ่นศิลาบัญญัติ ในที่สุด พระเจ้าทรงให้อภัยชาวอิสราเอล แต่ทรงลงโทษด้วยการลงโทษความผิดพลาดของพวกเขา เรื่องราวนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเชื่อฟัง การนมัสการพระเจ้าองค์เดียว และผลที่ตามมาจากความไม่เชื่อฟัง รวมถึงการให้อภัยของพระเจ้า แม้จะเผชิญกับความผิดพลาดอย่างร้ายแรง ก็ตาม
ในอพยพบทที่ 30–32 เราได้เรียนรู้เรื่องสำคัญต่าง ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและผู้คนผ่านเครื่องบูชาที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าประสงค์ให้มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ นอกจากนี้ เครื่องบูชาเหล่านี้ยังชี้ให้เห็นถึงการชดใช้บาปที่จำเป็นต้องกระทำ โดยมีการอุปมาถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระองค์ การตั้งกฎหมายเกี่ยวกับการสำมะโนประชากรและภาษีครึ่งเชเกลก็จะช่วยเตือนใจผู้คนว่าทุกสิ่งที่พวกเขามีนั้นมาจากพระเจ้า และการสำแดงความดีของพระองค์ต่อพวกเขาคือสิ่งสำคัญ
ในส่วนของพิธีกรรมด้านความสะอาด พระเจ้าได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความบริสุทธิ์เพื่อการเข้าใกล้พระองค์ แม้แต่ปุโรหิตยังต้องทำความสะอาดร่างกายก่อนทำพิธีกรรม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นบริสุทธิ์เพื่อการอยู่ใกล้พระ วิธีการที่พระเจ้าทรงเลือกและเติมเต็มช่างฝีมือสำหรับงานในพลับพลาเป็นการแสดงถึงการประทานพลังและทักษะเพื่อทำงานรับใช้พระองค์ ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับงานที่พระเจ้าต้องการจากเราทุกคน
ในขณะที่โมเสสไปยังภูเขาซีนาย ประชาชนไม่อดทนรอและเรียกร้องให้อาโรนสร้างรูปเคารพให้พวกเขาบูชา ความผิดพลาดนี้นำมาซึ่งความโกรธของพระเจ้า แต่ก็เป็นโอกาสที่โมเสสจะได้แสดงให้เห็นถึงการรู้และจดจำสัญญาของพระเจ้า หลังจากที่โมเสสลงมาพบกับการละเมิดของประชาชน เขาได้ทำลายรูปเคารพและลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการรักษาความบริสุทธิ์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนในฐานะผู้ที่พระเมสสิยาห์จะถือกำเนิดผ่านพวกเขา
ข้อคิด: อพยพ 30-32
ผู้คนเรียกการกำหนดเวลาของพระเจ้าว่าเป็นการล่าช้า แต่พระองค์ตรัสว่าพวกเขาหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นการล่าช้า พระองค์ตรัสว่าเร็ว พวกเขากำลังบูชาลูกโคทองคำในขณะที่พระองค์กำลังวางแผนที่จะเข้ามาใกล้พวกเขา โดยตกลงที่จะไว้ชีวิตพวกเขา เราสงสัยในการกำหนดเวลาของพระองค์และลงมือจัดการด้วยตัวเองบ่อยเพียงใด เราพบสิ่งอื่นเพื่อบูชาบ่อยเพียงใดเมื่อดูเหมือนว่าพระองค์จะลืมเรา ขอให้เราไว้วางใจในการกำหนดเวลาของพระองค์ แม้กระทั่งในสิ่งที่เรียกว่าการล่าช้า พระองค์ทรงไว้ชีวิตเราตั้งแต่ลมหายใจแรก และพระองค์ทรงวางแผนที่จะชำระล้างเราให้สะอาดและช่วยเราไว้ การอยู่ใกล้พระองค์คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา เพราะพระองค์อยู่ที่ซึ่งความชื่นชมยินดีอยู่!
คำถาม
1. ในบทที่ 30 มีการพูดถึงการถวายของถวายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การถวายเงินหรือของถวายอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันของเราพวกเรามีวิธีในการให้หรือแบ่งปันสิ่งที่เรามีอย่างไรเพื่อสนับสนุนคนรอบข้าง?
2. บทที่ 32 กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ชาวอิสราเอลสร้างรูปเคารพและหันหลังให้กับพระเจ้า สื่อถึงความท้าทายที่เราต้องเผชิญเมื่อมีสิ่งล่อใจในชีวิตประจำวัน เราจะสามารถรักษาความจงรักภักดีต่อค่านิยมและความเชื่อของเราได้อย่างไรในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา?
การเจิมและการสถาปนา เป็นพิธีกรรมที่สำคัญในคริสตจักร ซึ่งมีที่มาที่ไปที่น่าสนใจและมีความหมายลึกซึ้งในพระคัมภีร์
ที่มาของการเจิม
การเจิมมีต้นกำเนิดมาจากสมัยพระคัมภีร์เดิม ซึ่งมีการเจิมบุคคลหรือสิ่งของเพื่อแยกตั้งไว้สำหรับการรับใช้พระเจ้า เช่น การเจิมกษัตริย์ (1 ซามูเอล 10:1) การเจิมปุโรหิต (อพยพ 28:41) หรือการเจิมแท่นบูชา (อพยพ 40:10) การเจิมในสมัยนั้นมักใช้น้ำมันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการชำระให้บริสุทธิ์ การมอบอำนาจ และการเป็นตัวแทนของพระเจ้า
ในพันธสัญญาใหม่ การเจิมยังคงมีความสำคัญ โดยพระเยซูเองก็ได้รับการเจิมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 10:38) และผู้เชื่อทุกคนก็ได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (2 โครินธ์ 1:21-22) การเจิมในพันธสัญญาใหม่มีความหมายถึงการได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า การได้รับพระพรและฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระคริสต์
ที่มาของการสถาปนาในตำแหน่งต่างๆ
ตำแหน่งต่างๆ ในคริสตจักรมีความหลากหลายและมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกันไป เช่น อัครสาวก ผู้เผยพระวจนะ ผู้สอน ผู้ปกครอง (ศิษยาภิบาล) มัคนายก และอื่นๆ ในสมัยแรกเริ่มของคริสตจักร การสถาปนาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งต่างๆ มักจะมาจากการเลือกตั้งของสมาชิกในคริสตจักร และมีการอธิษฐานวางมือโดยอัครสาวกหรือผู้นำคนอื่นๆ (กิจการ 6:1-6; 1 ทิโมธี 4:14) การวางมือเป็นการแสดงออกถึงการมอบอำนาจและความรับผิดชอบในการเป็นผู้นำ
ความหมายของการเจิมและการสถาปนาในตำแหน่งต่างๆ ในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน การเจิมและการสถาปนาในตำแหน่งต่างๆ ยังคงเป็นพิธีกรรมที่สำคัญในคริสตจักรต่างๆ การเจิมมักจะทำควบคู่ไปกับการสถาปนา โดยผู้ที่ได้รับการเจิมและสถาปนาจะเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับและมอบหมายให้ทำหน้าที่ในตำแหน่งนั้นๆ ในคริสตจักร การเจิมและการสถาปนาในตำแหน่งต่างๆ มีความหมายถึง
- การทรงเรียก: เป็นการยืนยันว่าบุคคลนั้นได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้รับใช้ในตำแหน่งนั้นๆ
- การมอบอำนาจ: เป็นการมอบอำนาจและความรับผิดชอบในการเป็นผู้นำหรือผู้รับใช้ในตำแหน่งนั้นๆ
- การอวยพร: เป็นการขอพระพรจากพระเจ้าให้ผู้ที่ได้รับการสถาปนาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การเป็นตัวแทน: เป็นการแต่งตั้งให้บุคคลนั้นเป็นตัวแทนของพระคริสต์และคริสตจักรในการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนั้นๆ
ตัวอย่างความหมายของการเจิมและการสถาปนาในบางตำแหน่ง
- ศาสนาจารย์ (ศิษยาภิบาล): การเจิมและการสถาปนาเป็นการยืนยันการทรงเรียกให้เป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณ มีหน้าที่สั่งสอน นำนมัสการ และดูแลสมาชิกในคริสตจักร
- มัคนายก: การเจิมและการสถาปนาเป็นการมอบหมายให้รับใช้และดูแลความต้องการของสมาชิกในคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ขัดสน
- ผู้เผยพระวจนะ: การเจิมเป็นการยืนยันการทรงเรียกให้ประกาศพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งอาจเป็นการเตือน การหนุนใจ หรือการนำทาง
การเจิมและการสถาปนาในตำแหน่งต่างๆ เป็นพิธีกรรมที่มีความหมายสำคัญในศาสนาคริสต์ ซึ่งมีที่มาที่ไปที่ยาวนานและมีความหมายลึกซึ้ง การเจิมและการสถาปนาเป็นการยืนยันถึงการทรงเรียก การมอบอำนาจ การอวยพร และการเป็นตัวแทนของพระเจ้าและคริสตจักรในการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ